QR payment จุดเริ่มต้นการเดินทางไปสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society)

มนุษย์มีความต้องการสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่หามาได้ด้วยตนเอง และหามาไม่ได้ด้วยตนเอง เมื่อมีความต้องการในบางสิ่ง แต่หามาเองไม่ได้ บวกกับการที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคม การแลกเปลี่ยนจึงได้เกิดขึ้น เริ่มจากการแลกเปลี่ยนกันด้วยสิ่งของ ต่อด้วยการสร้างระบบการเงินตราในหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นก้อนหิน เบี้ย เหรียญ หรือธนบัตร เพื่อการและเปลี่ยนสินค้าและบริการ

เทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ด้านหนึ่งของการผลักดันเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ การเข้าสู่สังคมไร้เงินสด หรือ Cashless Society นั่นก็คือ สังคมที่ไม่จำเป็นต้องพกพาธนบัตร เงินสดหรือบัตรเครดิตอีกต่อไป แล้วเปลี่ยนมาเป็นการใช้จ่ายด้วยระบบออนไลน์ ที่มีต้นทุนด้านการเงินที่ต่ำกว่า เพราะเท่ากับเป็นการลดต้นทุนการผลิตธนบัตรเพื่อนำมาหมุนเวียนในตลาด บัตรเครดิต บัตรเดบิต รวมถึงตู้ ATM ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นราคาที่มหาศาลเลยทีเดียว

QR code กับ Cashless Society

สิ่งหนึ่งในวิวัฒนาการของสังคมไร้เงินสด คือการชำระเงินด้วย QR Code โดย QR Code มาจากคำว่า Quick Response Code เป็นรหัสที่มีการพัฒนาต่อยอดมาจาก Barcode แต่อยู่ในลักษณะบาร์โค้ด 2 มิติ  เพื่อให้สามารถใช้งานง่ายขึ้น เก็บข้อมูลได้มากขึ้น สามารถบรรจุข้อมูลได้ถึง 4,000 ตัวอักษร ใน QR code จะมีข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้านั้น ๆ เมื่อใช้ควบคู่กับแอพพลิเคชั่นที่ผูกไว้กับข้อมูลการเงินก็จะสามารถทำรายการตัดยอดเงินออนไลน์เพื่อชำระค่าสินค้าได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

การชำระเงินด้วย QR นั้นถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการชำระเงินของร้านค้า ทั้งร้านแบบมีหน้าร้าน (Physical) และร้านค้าออนไลน์ เคยไหมที่ไปเดินตลาดนัด แต่ลืมกดเงินสดและไม่ได้พกบัตร ATM มาด้วย รู้ตัวอีกทีก็ไม่สามารถซื้อสินค้าได้เลย เพราะร้านค้าในตลาดนัดไม่รับบัตรเครดิต ถึงแม้จะเป็นร้านค้าแบบ Physical บนห้างที่รับบัตรเครดิต แต่ก็ต้องแบกรับต้นทุนจำพวกเครื่องรูดบัตรต่าง ๆ ค่าธรรมเนียมการรูดบัตร

ในมุมของลูกค้าหรือผู้บริโภคก็ได้รับประสบการณ์ในความสะดวกรวดเร็ว ความสะดวกสบายในการใช้งานที่ไม่ต้องพกพาเงินสดหรือบัตรหลาย ๆ ใบซึ่งนอกจากจะยุ่งยากแล้ว การชำระเงินผ่านบัตรเครดิตหรือเดบิตยังปลอดภัยน้อยกว่า เพราะการยื่นบัตรให้ร้านค้านั้นอาจเสี่ยงต่อการโดนขโมยข้อมูลทางการเงินได้ แต่ปัญหาของความสะดวกสบายนี้เอง ที่อาจทำให้ผู้บริโภคมองข้ามหรือขาดวินัยทางการเงินแก่ตนเอง เพราะการชำระค่าสินค้าและบริการเพียงแค่ไม่กี่คลิก โดยที่มือยังไม่ได้หยิบจับหรือเห็นธนบัตรออกจากกระเป๋า อาจจะทำให้การควบคุบการใช้จ่ายของตนเองเป็นไปได้ยาก

ทั้งนี้ EMVCo ซึ่งเป็นหน่วยงานต่างประเทศที่ดูแลสนับสนุนการเชื่อมต่อเครือข่ายการชำระเงินระหว่างประเทศ เป็นผู้กำหนดมาตรฐานการชำระเงินในระดับสากล ได้ประกาศใช้มาตรฐานสากล QR Code สำหรับจ่ายเงินที่ผูกกับบัตรเครดิตและเดบิตแล้ว และธนาคารแห่งประเทศไทยกับสมาคมการค้าผู้ให้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ก็ได้นำมาตรฐาน EMVCo มาปรับใช้ด้วยเช่นกัน

High Risk High Return จริงหรือไม่ อย่างไรกับ Cryptocurrency

เริ่มต้นจากการทำความรู้จักกับ Cryptocurrency กันก่อน Cryptocurrency มาจาก Cryptography + Currency แปลตรงตัวได้ว่า “สกุลเงินดิจิตอลที่ถูกเข้ารหัส” โดยการเข้ารหัสนั้นได้พัฒนามาจากเทคโนโลยี Blockchain จึงทำให้ cryptocurrency แตกต่างจากสกุลเงินดิจิตอลธรรมดาทั่ว ๆ ไป

แล้ว Blockchain คืออะไร ?

ลองคิดว่า Blockchain เปรียบเหมือนสมุดบัญชีในการบันทึกการทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยที่การจะสร้างรายการธุรกรรม (Digital transactions) นั้นต้องอาศัยกุญแจสาธารณะ (Public Key) และคีย์ส่วนตัว (Private Key) ในการถ่ายโอนระหว่างหน่วยงาน เป็นลักษณะแบบการกระจายอำนาจแบบไม่รวมศูนย์ (Decentralize) เพื่อล้มล้างแนวคิดของการมี “ตัวกลาง” ในทุกภาคส่วน เปลี่ยนเป็นการกระจายข้อมูลไปสู่ “ทุกคน” ในระบบแทน โดยแต่ละรายการธุรกรรมจะถูกส่งต่อไปเป็นเสมือนห่วงโซ่ (Chain) ที่ทำให้ block ของข้อมูลเชื่อมต่อไปยังทุก ๆ คน ดังนั้นรายการธุรกรรมที่เกิดในโลกของ Blockchain จึงยากมากต่อการปลอมแปลงและมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง

ลงทุนกับ Cryptocurrency ดีหรือไม่ อย่างไร ?

นอกเหนือจากความปลอดภัยแล้ว Cryptocurrency มีความเป็น Universal ของสกุลเงิน เพราะไม่ถูกกำหนดด้วยสัญชาติและกฎหมายของประเทศใดประเทศหนึ่ง ดังนั้นขั้นตอนการแลกเงิน ค่าธรรมเนียม และข้อจำกัดของเงินที่แลกมาจึงเป็นอีกข้อได้เปรียบของ Cryptocurrency แต่อย่างไรก็ตามการจะลงทุนกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผู้ลงทุนควรจะทำการศึกษาอย่างลึกซึ้งกับสิ่งเหล่านั้น เพื่อที่จะมีความรู้ ความเข้าใจมากพอที่จะบริหารและจัดการความเสี่ยงจากการลงทุน

สำหรับ Cryptocurrency นั้น เมื่อผู้ลงทุนเข้าใจเทคโนโลยีและการทำงานเบื้องหลังของมันแล้ว ประกอบกับราคาที่พุ่งขึ้นสูง ก็คงจะเรียกความสนใจของเหล่านักลงทุนได้ไม่มากก็น้อย แต่อันที่จริงแล้ว การลงทุนทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง อย่างไรก็จะต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เหมือนการลงทุนด้านอื่น ๆ เช่นกัน ไม่ว่าจะในเรื่องของการพิจาราณาเลือกเหรียญ Cryptocurrency ว่าตัวไหนในตลาดที่น่าสนใจ ราคาและอัตราการผันผวนของราคา ระดับความเสี่ยง รวมถึงนักพัฒนาเหรียญ Cryptocurrency ทั้งยังควรกระจายการลงทุนแบบสมดุลในหลาย ๆ เหรียญ Cryptocurrency อีกด้วย

ด้านที่ต้องระวังสำหรับ Cryptocurrency ก็คือ เมื่อเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ถูกนำมาใช้ประโยชน์จากผู้ไม่ประสงค์ดี สืบเนื่องจากความปลอดภัยในเทคโนโลยีของ Blockchain นั่นเองทำให้เป็นทางหลบซ่อนที่ดีของผู้ประกอบธุรกิจด้านมืด เพื่อนำมาใช้ในการฟอกเงิน ค้าขายสิ่งเสพติด และอาชญากรมมผิดกฎหมายอื่น ๆ เพราะการสืบหาว่าผู้เป็นเจ้าของเงินนั้นคือใครเป็นได้ไปได้ยาก จนเกือบจะเรียกว่า เป็นไปไม่ได้เลยด้วย

สุดท้ายแล้ว การลงทุนใน Cryptocurrency ก็ถือว่าเป็น High Risk High Return อย่างหนึ่ง สามารถทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลกำไรเป็นจำนวนมาก แต่ก็สามารถทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนได้เป็นจำนวนมากเช่นกัน

แบตเตอรี่ยุคใหม่ สร้างความแฮปปี้ได้มากแค่ไหน ไปดูกันเลย

เทคโนโลยีถูกพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน สมาร์ทโฮม สมาร์ทวอช รถยนต์ และอื่น ๆ แต่ทว่าอุปกรณ์หลายอย่างเหล่านั้นต้องการแหล่งพลังงานในการทำงาน ซึ่งวิวัฒนาการสำหรับวัสดุให้พลังงานหรือแบตเตอรี่นั้นยังมีข้อจำกัด และต้องการการพัฒนามากยิ่งขึ้น นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีก็ได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาแบตเตอรี่เช่นกัน เพื่อตอบสนองความสามารถของอุปกรณ์เหล่านั้นได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน

มาตรฐานด้านความสามารถในการอัดประจุของแบตเตอรี่ จะขึ้นอยู่กับระบบการกักเก็บพลังงาน คงเป็นที่รู้จักกันดีกับ แบตเตอรี่ลิเธียม (Lithium-ion Batteries) โดยลิเธียมนั้นเป็นโลหะเบา และให้แรงดันไฟฟ้าสูง ความหนาแน่นพลังงานสูง จึงถูกนำมาใช้ในการพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย

ทางเลือกใหม่ของแบตเตอรี่ในรูปแบบอื่น

  • โซเดียมไอออน(sodiumion)

โซเดียม หรือก็คือส่วนประกอบหลังของเกลือที่ใช้ในการปรุงอาหารนั่นเอง การนำโซเดียมมาทำแบตเตอรี่นั้นทำให้โซเดียมไอออนมีความได้เปรียบทางด้านต้นทุนการผลิตเพราะหาได้ง่าย เพราะน้ำทะเลเองก็เต็มไปด้วยโซเดียม และมีความปลอดภัยสูงกว่าลิเธียมไอออนแบตเตอรี่อีกด้วย

  • คาร์บอนแบตเตอรี่ (carbon battery)

ผลึกคาร์บอนหรือวัสดุพวก Graphene มีคุณสมบัติที่แข็งแกร่ง และเบากว่าเหล็กธรรมดาทั่วไปมากถึง 6 เท่า ทำให้สามารถลำเลียงส่งกระแสไฟออกมาใช้ได้ในปริมาณที่มากกว่า การชาร์จไฟเข้าเร็วกว่าแบตเตอรี่อย่างลิเธียมไอออนมากถึง 20 เท่า และมีอายุการใช้งานนานกว่าอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น คาร์บอนยังถือเป็นทรัพยากรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า

  • เส้นลวดนาโน(nanowires)

การใช้เส้นใยสายไฟนาโนที่มีขนาดบาง ยิ่งกว่าเส้นผมมนุษย์เป็นพันเท่า เมื่อนำมาเป็นส่วนผสมในแบตเตอรี่ จะช่วยเพิ่มพื้นที่และการเก็บประจุ การถ่ายเทประจุไฟฟ้ามากขึ้น จึงทำให้อายุการใช้งานนานมากขึ้น แต่ด้วยความบางจึงส่งผลให้สภาพของมันบอบบางไปด้วย

  • โฟมแบตเตอรี่ (foam battery)

โฟมอาจทำให้รู้สึกแปลกเมื่อนำมาทำเป็นแบตเตอรี่ แต่เมื่อนำโฟมมาเคลือบด้วยแอโนด (anode) จะสามารถสร้างแบตเตอรี่ที่ชาร์จไฟเข้าได้เร็วกว่าแบตเตอรี่อย่างลิเธียมไอออนถึง 5 เท่า ที่สำคัญโฟมเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบา ราคาถูก ปลอดภัย และอายุการใช้งานยาวนานกว่าลิเธียมไอออนแบตเตอรี่

ยังคงมีอีกมากมายหลากหลายผลิตภัณฑ์ ที่สามารถนำมาเป็นทางเลือกในการผลิตแบตเตอรี่ การค้นคว้าวิจัยอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ขีดความสามารถของแบตเตอรี่ก้าวล้ำอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งด้านความอึด ความทน อายุการใช้งาน น้ำหนักของแบตเตอรี่ ความเร็วในการชาร์จไฟเข้า เพื่อความสะดวกสบายของผู้บริโภคโดยไม่ต้องมาคอยกังวลว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะไม่มีแบตเตอรี่ระหว่างการใช้งาน ต้องเตรียมอุปกรณ์ชาร์จไฟสำรองไว้ หรือหากต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่กับอุปกรณ์เช่น ในสมาร์ทโฟน แล้วต้องเสี่ยงกับการที่สีฝาหลังหลุดหลอก หรือสูญเสียคุณสมบัติกันน้ำไปจากการเปิดฝา และความกังวลอื่น ๆ

หมดกังวลกับปัญหาระบบล่ม เมื่อนำเทคโนโลยี Microservices มาใช้งานได้จริง

สำหรับเหล่านักพัฒนาเว็บไซต์และเว็บแอปพลิเคชัน นอกเหนือจากการพัฒนาระบบให้มีฟังก์ชั่นที่ถูกต้องตามความต้องการ (Requirements) แล้วนั้น ยังคงต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพในการใช้งาน (Performance) การพัฒนาปรับปรุง (Enhancement) และการซ่อมบำรุง (Maintenance) อีกด้วย หากการออกแบบระบบ ก่อให้เกิดอุปสรรคในการปรับแก้ และซ่อมบำรุงเว็บแอปพลิเคชัน ประกอบกับหากเว็บเหล่านั้นมีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมากอยู่ต่อเนื่องตลอดเวลา คงเป็นการยากที่จะระงับการใช้งานเว็บไซต์และเว็บแอปพลิเคชันชั่วคราว และคงจะสร้างประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์นักแก่ผู้ใช้งาน ทั้งนี้ เทคโนโลยี Microservices จะสามารถช่วยลดปัญหาการระงับใช้ระบบชั่วคราว หรือ ทั้งระบบล่มจนไม่สามารถใช้งานได้

รู้จักกับ Microservices กันก่อน

Microservices แปลตรงตัวก็คือ บริการ (service) ขนาดเล็ก ๆ หลาย ๆ ตัว โดยที่ในแต่ละ service จะมีหน้าที่ในการทำงานเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น แต่ละ service จะต้องมีอิสระต่อกันไม่ผูกพันกับส่วนอื่น ๆ และอยู่ได้ด้วยตัวเอง (autonomous) การออกแบบ service จะต้องรองรับการทดแทนได้ เพื่อที่ว่า ถ้า service ตัวใดตัวหนึ่งไม่สามารถใช้งานได้ต้องปิดตัวลง หรือต้องการการปรับปรุงใหม่เนื่องด้วยความต้องการ (Requirements) เปลี่ยนแปลง หรือต้องการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ ระหว่างที่ระงับการใช้งาน service ตัวนั้น service ตัวอื่น ๆ จะต้องยังคงต้องสามารถทำงานต่อไปได้โดยไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ

ยกตัวอย่างเช่น ระบบเว็บไซต์จองโรงแรม ก็อาจจะแบ่ง service ออกเป็นย่อย ๆ เช่น service สำหรับค้นหาโรงแรม service สำหรับลงทะเบียนสมาชิก service สำหรับจองโรงแรม service สำหรับยกเลิกการจอง service สำหรับรีวิวโรงแรมแ เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้น การออกแบบโครงสร้างและแบ่งส่วน Microservices รวมถึงการวางแผนการส่งต่อข้อมูลระหว่าง service เป็นหัวใจที่สำคัญที่สุด

ระบบล่มคืออะไร?

ข้อผิดพลาดในระบบนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป คงไม่มีระบบใดในโลกที่ปราศจากข้อผิดพลาดเลย โดยข้อผิดพลาดเหล่านั้นอาจเกิดได้จากเหตุทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยเหตุทางตรงก็คือความผิดพลาดในฟังก์ชั่นการทำงานจริง ๆ หรือที่เรียกกันว่า bugs ที่หนักหนาจนทำให้ระบบติดขัดทำงานต่อไม่ได้ ในทางอ้อมอาจเกิดจากการที่ผู้ใช้จำนวนมาก ใช้งานหนักจนเกิดขีดจำกัดของระบบ จนกระทั่งระบบรับไม่ไหว จึงล่มและไม่สามารถทำงานต่อไปได้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ผู้ใช้งานต้องพบเจอกับข้อความยุ่งเหยิงหรือ error messages หรือหน้าจอค้างไม่ตอบสนองอีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้เอง การที่ระบบถูกออกแบบมาอย่างดีเพื่อรองรับเหตุการณ์เมื่อระบบเกิดข้อผิดพลาด จะทำให้ป้องกันการล่มของระบบทั้งหมดได้ จะเห็นว่าเมื่อระบบถูกออกแบบมาในรูปแบบของ Microservices จะทำให้การตรวจสอบเพื่อค้นหาส่วนที่ต้องแก้ไขเมื่อประสบปัญหาเป็นไปได้ง่าย ทำให้ระบบสามารถเรียกกลับคืนได้ไว รวดเร็ว และในระหว่างการแก้ไข service ใด ๆ นั้น service อื่น ๆ จะยังคงทำงานได้ต่อไปตามปกติไม่มีการหยุดชะงักหรือ crash ทั้งระบบ นั่นถือว่า ระบบถูกออกแบบมาได้ดีแล้ว

5 นวัตกรรมแปลกใหม่จากโลกอนาคต ที่ทำให้คุณต้องอ้าปากค้าง

นวัตกรรมและสิ่งใหม่ ๆ เป็นผลพวงมาจากความฉลาดล้ำของมนุษย์ที่ยากเกินจะเข้าใจ และความฉลาดล้ำของมนุษย์นี้เองที่สร้างสรรค์และก่อให้เกิดสิ่งประดิษฐ์อันน่าตื่นตาตื่นใจขึ้นมามากมาย และสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่ช่วยอำนวยความสพดวกให้เหล่ามวลมนุษยชาติ

Continue reading “5 นวัตกรรมแปลกใหม่จากโลกอนาคต ที่ทำให้คุณต้องอ้าปากค้าง”

ชวนมาส่อง เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกแฟชั่นให้ล้ำนำสมัย

ยุคนี้ อะไรๆ ก็ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต การค้าขาย การทำธุรกิจ หรือวงการอุตสาหกรรมต่างๆ ที่พึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อให้เกิดความทันสมัยและมีอะไรใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น

Continue reading “ชวนมาส่อง เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกแฟชั่นให้ล้ำนำสมัย”

เปิดตัวยิ่งใหญ่อลังการ… iPhone X พร้อมสเปคอัดแน่นด้วยประสิทธิภาพ

เป็นกระแสฮือฮาไปทั่วโลกกับการเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่กับแบรนด์มือถือสมาร์ทโฟนชื่อก้องโลกอย่าง iPhone จาก Apple ที่เปิดตัวสมาร์ทโฟนถึง 3 รุ่นด้วยกันในคราวเดียว นั่นก็คือ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X

Continue reading “เปิดตัวยิ่งใหญ่อลังการ… iPhone X พร้อมสเปคอัดแน่นด้วยประสิทธิภาพ”

กระหึ่มไปกับเสียงเบสที่สัมผัสได้ทั่วร่างกายด้วย Basslet ซับวูฟเฟอร์แบบพกพา

อุปกรณ์การฟังเพลงที่ถูกพัฒนาจนกลายเป็น Basslet

เสียงเพลงคือสิ่งที่อยู่ควบคู่กับมนุษย์มาเนิ่นนาน ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยการชอบฟังเพลงของมนุษย์ก็ยังมีอยู่เสมอ แนวเพลงก็ถูกปรับเปลี่ยนไปตามความคิดความรู้สึกของผู้คนในแต่ละยุค ความคิดทัศนคติของคนยุคนั้น ๆ เป็นเช่นไรก็มักถูกถ่ายทอดและบันทึกไว้อยู่ในเพลงยุคนั้นเสมอโดยที่เราไม่รู้ตัว คล้าย ๆ เป็นประวัติศาสตร์ทางความคิดรูปแบบหนึ่งเลยก็ได้ แต่ก็ไม่ใช้เพียงแค่แนวเพลงเท่านั้นที่ถูกพัฒนาและปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาแห่งยุคสมัย แต่อุปกรณ์ที่ใช้เก็บบันทึก หรือใช้เป็นตัวกลางถ่ายทอดเสียงเพลงออกมาให้เราได้ฟังกันก็ได้รับการพัฒนาปรับเปลี่ยนไปเฉกเช่นเดียวกัน จากที่เคยเป็นแผ่นเสียง ก็มาเป็นเทป ซีดี วิทยุพกพา ลำโพงพกพา หูฟัง และล่าสุดกับนี่เลย Basslet ซับวูฟเฟอร์แบบพกพา แล้วมันคืออะไร ? ซับวูฟเฟอร์คือลำโพงพกพกพาที่ให้คลื่นความถี่ต่ำ คือเสียงเบสนั่นเอง แล้ว Basslet ล่ะคืออะไร มันคืออุปกรณ์ที่มาใช้จำลองคลื่นความถี่ต่ำ หรือเสียงเบสตัวนี้ให้ผู้ที่ได้ยินได้รู้สึกถึงเสียงเบสที่ดังกระหึ่ม มันเป็นโครงการที่ถูกวางแผนและพัฒนาขึ้นจากการระดมทุนเพื่อสร้าง โดยได้เปิดระดมทุนที่ Kickstarter เมื่อปีที่ผ่านมา การระดมทุนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเกินคาด ลักษณะของมันจะเป็นเหมือนนาฬิกาข้อมือที่ใช้สวมไว้ โดยอาศัยการทำงานด้วยระบบ Haptic คือการรับสัมผัสการสั่นสะเทือนทางร่างกาย

แล้ว Basslet ใช้งานอย่างไร

อุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการใช้งานของ Basslet ซับวูฟเฟอร์แบบพกพา ประกอบไปด้วย โทรศัพท์มือถือ หรือสมาร์ทโฟน หูฟังแบบมีสาย และ Basslet  ซึ่งการทำงานทั้งสามอย่างนี้จะเชื่อมต่อกัน โดยมีตัวส่งสัญญาณจาก Basslet ที่ต้องเชื่อมต่อกับหูฟังอีกทีหนึ่ง แล้วค่อยเสียบเข้าไปที่มือถือ และเมื่อเปิดสัญญาณให้มือถือและ Basslet เรียบร้อยแล้ว เพลงที่คุณฟัง หรือวิดีโอต่าง ๆ อะไรก็ตามที่เข้ามาให้คุณได้ยินจากมือถือนั้นจะทำให้คุณได้รับประสบการณ์สัมผัสใหม่ ๆ ด้วยเสียงเบสที่สะใจสุด ๆ โดยเฉพาะกับใครที่ชื่นชอบการฟังเพลงแนวร็อคเบสหนัก หรือ R&B ด้วยแล้วยิ่งไม่ควรพลาดซื้อมาลองสักครั้ง เพราะเสียงคลื่นความถี่ต่ำของตัว Basslet นี้ สามารถปรับระดับให้หนักหน่วงสะใจเบสได้ถึง 10 ระดับ กันเลยทีเดียว หาซื้อได้ที่ไหนบ้าง ตอนนี้ในเว็บของแอเมซอนเริ่มมีวางขายกันแล้ว สุดท้ายไม่ว่าคุณจะชอบฟังเพลงแบบไหนผ่านวิธีการหรืออุปกรณ์ใด เสียงเพลงก็คือหนึ่งในสิ่งที่น่าอัศจรรย์ช่วยจรรโลงใจให้เราได้เสมอ

เทคโนโลยี VR และ AR ความล้ำสมัยเสมือนจริงเหนือจินตนาการ

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการมองภาพของ VR และ AR

การมองภาพถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มเดิมทีก็มีเพียงแค่ภาพถ่ายเท่านั้น ต่อมาเริ่มมีแบบวิดีโอ ซึ่งทำให้เราได้เห็นถึงความเคลื่อนไหวที่เหมือนจริงเข้าไปมากกว่าการมองภาพที่นิ่ง ๆ บนกระดาษ แต่มนุษย์ผู้มีสมองอันชาญฉลาดซับซ้อนสามารถคิด แยกแยะ วิเคราะห์ได้มากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นย่อมไม่หยุดเพียงเท่านี้อยู่แล้ว เมื่อโลกได้ขับเคลื่อนไปไปสู่คำว่าทันสมัยตลอดเวลา คำว่าสามมิติ (3D) จึงเข้ามามีบทบาทให้เห็นและได้สัมผัสมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเสมือนจริงที่ยิ่งกว่าการเป็นเพียงแค่วิดีโอเคลื่อนไหว ทำให้ทุกคนต่างตื่นตาตื่นใจ มันได้ถูกพัฒนาจนเรารู้จักกันในชื่อ VR หรือ Virtual Reality คือการจำลองภาพหรือสภาพแวดล้อมนั้น ๆ ที่ต้องการให้เหมือนจริง ให้เรารับรู้ รู้สึก และคิดว่าทุกอย่างคือความจริง เหมือนเราได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นเองจริง ๆ มันเป็นการทำให้เราเหมือนถูตัดออกจากโลกความจริงรอบข้างไปในขณะนั้น โดยเทคโนโลยี VR เราจะใช้การมองผ่านแว่น ที่เรียกว่าแว่น VR หรือแว่นสามมิตินั้นเอง ส่วน AR นั้น เป็นเทคโนโลยีความเสมือนจริงที่นำเอาสภาพแวดล้อมจริง ๆ ขณะนั้นผสมลงไปด้วย กล่าวคือการซ้อนทับกันของภาพ วิดีโอ หรือเสียง รวมกันกับสถานที่จริง ๆ ต่อหน้าเรานั้นเอง โดยการมองในส่วนของเทคโนโลยีแบบ VR นั้น จะสามารถมองผ่านจอสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้เลย จะเห็นว่าทั้งสองอย่างนี้มีความคล้ายกันมากตรงที่สามารถทำให้ภาพ วิดีโอ เสียง ที่เป็นเพียงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ให้เราได้รู้สึกถึงการมีอยู่จริงอย่างน่าทึ่ง การจะทำเทคโนโลยีแห่งภาพเสมือนจริงขึ้นมานี้ก็มีขั้นตอนหลัก ๆ คือ การวิเคราะห์ภาพเพื่อให้เกิดรูปแบบที่น่าสนใจในด้านรูปทรง ขนาด, การคำนวณค่าสามมิติ, เพิ่มข้อมูลลงในภาพสร้างเป็นภาพสองมิติ โดยอาศัยโมเดลสามมิติ ขั้นตอนมีความซับซ้อน แต่ก็ไม่เกินความสามารถของมนุษย์ไปได้

ประโยชน์ที่นำไปใช้จากเทคโนโลยี VR  และ AR

ประโยชน์ทางด้านความบันเทิงจะเห็นได้จากการใช้แว่น VR ดูหนัง หรือวิดีโอต่าง ๆ ร่วมถึงการเล่นเกมสามมิติ แต่ไม่เพียงความบันเทิงอย่างเดียว VR ยังใช้ประโยชน์ทางด้านการศึกษาและพัฒนาคนด้วย เช่น การจำลองฝึกขับเครื่องบินในเบื้องต้น ส่วนในเทคโนโลยี AR จะเห็นได้ชัดเจนที่สุดจากเกมดังอย่าง Pokemon Go ที่นำเอาภาพสามมิติมาซ้อนทับผนวกรวมกับสถานที่จริง จนผู้คนเกิดความสนใจกันถล่มทลาย ทั้งนี้ ภาพความจริง แค่มองด้วยตาเปล่าก็เห็นกันอยู่ทุกวัน แต่สำหรับภาพจินตนาการที่มีอยู่ในหัว ทั้งความสวยงาม ความเหนือคาด ภาพที่เป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริง เมื่อนำมาถูกถ่ายทอดให้เห็นได้อย่างเสมือนจริงอยู่ตรงหน้าได้ นี่แหละคือความน่าหลงใหลของ VR และ AR

Bluetooth 5 เทคโนโลยีแห่งการรับส่งข้อมูลที่ไวและไกลมาก

ระบบรับส่งข้อมูลด้วย Bluetooth

การถ่ายโอนข้อมูลหรือการรับส่งข้อมูลจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หนึ่งไปยังอีกอุปกรณ์หนึ่งด้วย Bluetooth เป็นเทคโนโลยีที่มีใช้กันมานานมาก หากเราสังเกตดี ๆ อุปกรณ์หลายอย่างรอบตัวเหล่าล้วนแล้วแต่ใช้ระบบส่งสัญญาณประเภทนี้อยู่จำนวนมาก เพราะเป็นการใช้งานที่ง่าย ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนเกินความเข้าใจ เป็นการบังคับประมวลผลคำสั่งของการถ่ายโอนข้อมูลด้วยอุปกรณ์เพียงสองอย่างที่เชื่อมต่อกันได้ผ่านระบบบลูทูธเท่านั้น เพียงแค่ใช้เวลาไม่นานข้อมูลที่ต้องการจากอุปกรณ์หนึ่งก็มาอยู่ที่อีกอุปกรณ์หนึ่งเรียบร้อย เรามีการพัฒนาระบบบลูทูธมาจนตอนนี้กำลังจะมีการใช้ Bluetooth 5 แล้ว แต่ก่อนจะไปรู้รายละเอียดเกี่ยวกับ Bluetooth 5 เรามาทำความรู้จักกับระบบ Bluetooth เดิมกันก่อนดีกว่า Bluetooth คือ เทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลที่อาศัยคลื่นวิทยุความถี่สูง ระยะสั้น เป็นตัวบังคับและส่งข้อมูลตามคำสั่งโดยใช้เวลาไม่มาก ขึ้นอยู่กับประเภทและขนาดไฟล์ ปัจจุบันเราจะคุ้นชินกับระบบบลูทูธที่เวอร์ชั่น 4.2 ซึ่งก็มีความเร็วและส่งข้อมูลได้เสถียรดี แต่ในเวอร์ชั่น 5 นี้จะดียิ่งกว่าเดิม นั่นคือ เพิ่มการรับส่งข้อมูลและบังคับตามคำสั่งได้ไกลกว่าเดิมถึง 4 เท่า นั้นคือได้ถึง 5 – 10 เมตร กันไปเลย แถมความเร็วก็มากกว่าเดิมถึง 2 เท่าด้วยกัน มันถูกพัฒนาโดยกลุ่มบริษัท Bluetooth Special Interest Group กว่า 30,000  บริษัท ที่หวังว่า Bluethooth 5 นี้จะมีประโยชน์ต่อการใช้งานสิ่งของในชีวิตประจำวันมากที่สุด

ประโยชน์ของเทคโนโลยี Bluetooth 5 ที่ใกล้ตัวเรา

อย่างที่บอกไปว่าเราได้นำเทคโนโลยีบลูทูธมาใช้ร่วมกันกับสิ่งของอิเล็กทรอนิกส์มากมายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่การรับคำสั่งที่เร็ว และไกลกว่าเดิมของบลูทูธ 5 จะยิ่งทำให้การใช้งานของต่าง ๆ เหล่านี้ดีเยี่ยมมากขึ้นไปอีกระดับแน่นอน เช่น ของที่ใช้อยู่ทุกวันอย่างสมาร์ทโฟน ที่จะทำให้การส่งผ่านไฟล์เพลง ไฟล์ภาพระหว่างคุณกับเพื่อนเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น และมันดีกว่าระบบอื่นอย่างไร ? ก็มันมีความปลอดภัยสูง มีการใช้พลังงานแบตเตอร์รี่ที่ต่ำมาก และของใกล้ตัวอีกอย่างในบ้านนั่นคือรีโมท จะทำให้การบังคับใช้งานในระยะไกลกว่าเดิม การใช้งานหูฟังบลูทูธก็ดียิ่งขึ้น หรือแม้แต่เม้าท์คอมพิวเตอร์เองก็ตาม จะเห็นว่าของรอบตัวเราอาศัยการทำงานของบลูทูธอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น จึงไม่แปลกเลยที่เทคโนโลยีส่วนนี้จะถูกพัฒนา และเราก็ได้แต่หวังว่าในอนาคตอันใกล้ ระบบ Bluetooth จะสร้างสรรค์ความก้าวหน้าให้เราได้ใช้งานกันมากกว่านี้แน่นอน