ส่อง เทคโนโลยีดั้งเดิมของเซเว่นที่โดนใจคนทั้งเมือง          

เซเว่น-อีเลฟเว่น เป็นแฟรนไชส์ของร้านสะดวกซื้อ จำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน มีสาขาอยู่ทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยก็มีมากกว่า 10,000 สาขา เฉพาะในกรุงเทพมหานครมีมากกว่า 500 สาขา เป็นร้านค้าปลีกที่มีเครือข่ายมากที่สุด โดยมียอดขายเฉลี่ย 65,019 บาท ต่อวันต่อสาขา ถือได้ว่า ธุรกิจของเซเว่นฯนั้น เติบโตได้ดีมากเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงถึง ระบบของเซเว่นฯ ที่เราสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน

  • 7-Card (เซเว่นการ์ด) คือ บัตรสมาชิกเงินสดอัจฉริยะที่ได้แต้มจากการซื้อของในร้านเซเว่นฯ ทั้งนี้เพื่อเพิ่ม ความสะดวกสบายในการชำระสินค้าและบริการ พร้อมทั้งสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่ามากมายที่ให้เฉพาะสมาชิกเท่านั้น
  • เคาน์เตอร์เซอร์วิส เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการชำระค่าสาธารณูปโภคทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำประปา ไฟฟ้า ค่า โทรศัพท์มือถือ ซื้อตั๋วคอนเสิร์ต และบริการจากการผ่อนสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากเพราะทำให้ลูกค้านั้นประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทั้งยังชำระได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  • แอปเซเว่นฯ เป็นแอปที่อำนวยความสะดวกสำหรับติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าโปรโมชั่นต่าง ๆ ที่จัดตามช่วงเวลา ใช้ในการสะสมเหรียญเพื่อใช้แลกสินค้าพรีเมี่ยม และร่วมสนุกกับกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อชิงของรางวัล

แตกต่างอย่างลงตัวกับเทคโนโลยี เซเว่น ในยุค 4.0

ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น ทำให้เซเว่นฯต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบเซเว่นฯของตัวเองให้ทันโลกตามไปด้วย โดยในปัจจุบันนี้มีเซเว่นฯแห่งใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีคอนเซปที่ว่า “อวกาศ“ เพื่อเปิดประสบการณ์ให้กับลูกค้าได้เข้ามาดูเซเว่นฯแบบโฉมใหม่ ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในร้านและตกแต่งร้านให้ดูเป็นอวกาศทั้งหมด อีกทั้งเป็นร้านต้นแบบนวัตกรรมด้านประหยัดพลังงาน มีระบบเติมเฟรชแอร์ ระบบปรับอากาศเพิ่มเติมอากาศบริสุทธิ์ในร้าน เพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย นอกจากนั้น มีเทคโนโลยีที่เพิ่มเข้ามาใช้อีก อาทิเช่น

  • จอดิจิทัลแสดงโลโก้ เป็นจุดสังเกตให้เห็นร้านเซเว่นฯ อย่างชัดเจน เป็นแบบโปร่งใส (Digital Transparent Display )ใช้เทคโนโลยี MESH OLED ในการกระจายแสงให้เกิดเป็นภาพที่คมชัดสามารถมองทะลุผ่านได้ ใช้แสดงข้อมูลและภาพเคลื่อนไหวได้หลากหลายรูปแบบรวมถึงโปรโมชั่นต่าง ๆ ของทางร้าน
  • ที่จอดจักรยานอัจฉริยะ เปิดให้บริการเช่าจักรยานโอโฟ่ (OFO) ลดการใช้รถส่วนตัว และมี EV Parking สถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ระบบไฟฟ้า เพื่อลดการใช้พลังงาน
  • จอแสดงเมนูและภาพอาหาร (Digital Menu Board) และตู้แชร์สินค้าประเภทอาหารสดที่แปลกตาไปจากสาขาอื่น ๆ ซึ่งมีจุดเด่นคือสามารถรักษาอุณหภูมิสินค้าให้คงที่และสดใหม่อยู่เสมอ (Open showcase) ที่สำคัญประหยัดพลังงานได้มากถึง 30%
  • จุดชำระเงินด้วยตนเอง (Self Check Out) เพื่อความสะดวก รวดเร็วในการให้บริการที่ทำได้ด้วยตนเอง
  • Smart Wave สามารถอุ่นอาหารได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องรอพนักงาน

ไฮไลท์ของทางร้านคือ น้องแมงมุม หุ่นยนต์ที่สามารถจับการเคลื่อนไหวและสื่อการกับลูกค้าได้ในระยะใกล้เช่น ยกมือไหว้สวัสดี โบกมือทักทาย สามารถเคลื่อนที่ไปได้รอบร้าน 24 ชม. โดยไม่ใช้แบตเตอรี่อีกด้วย ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้ลูกค้าประทับใจนั่นเอง

และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีที่ถูกเพิ่มเข้ามาเท่านั้นยังมี เทคโนโลยีที่น่าสนใจอีกมากมายที่เข้ามาปรับใช้ในร้านเซเว่นแห่งนี้ ซึ่งคุณสามารถเดินทางไปสัมผัสได้ด้วยตนเองที่ ซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 ถนนแจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี ระบบสารสนเทศของเซเว่นถือเป็นระบบของร้านสะดวกซื้อที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในยุคปัจจุบัน ถือเป็นตัวอย่างที่ดีกับร้านสะดวกซื้อเจ้าอื่น ๆ ซึ่งอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ทำให้เซเว่นฯครองใจผู้คนทุกระดับชั้นเพราะ สินค้าได้มาตรฐาน ตามหลักสากล มีการบริการที่ดี รอยยิ้มที่ส่งตรงถึงลูกค้า นั่นเอง

การศึกษาที่ถูกปฏิวัติด้วยเทคโนโลยี Smart School อยู่อีกไม่ไกล

                เทคโนโลยีคือสิ่งที่ไม่ถูกจำกัดอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เทคโนโลยีสามารถที่จะเข้าไปช่วยพัฒนาทุก ๆ สิ่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การศึกษาถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ได้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เราอาจจะเคยเห็นกัน ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกเทปการสอน และนำไปเก็บไว้ในห้องสมุด เมื่อมีนักเรียนคนไหนที่ไม่เข้าในบทเรียนและอยากจะฟังอีกครั้ง ก็สามารถที่จะมาเปิดดูได้ หรือจะเป็นการทำสื่อการสอนต่าง ๆ ให้ดูทันสมัยและเข้าใจง่ายมากขึ้น

แต่ในตอนนี้การศึกษาได้ก้าวไปอีกระดับโดยการใช้เทคโนโลยีพัฒนาระบบการศึกษาใหม่ให้ออกมาเป็น E-learning เป็นศูนย์รวมทุกอย่างที่เกี่ยวกับการศึกษาที่นักเรียนหรือนักศึกษาสามารถใช้งานไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ได้ เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟนและอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ข้อมูลทุกประเภทจะถูกเก็บและมีการอัพเดทตลอดเวลาผ่าน E-learning เพื่อให้ทั้งนักเรียน ครู และเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ของโรงเรียนได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น

ระบบนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อจัดเก็บวิดีโอการสอน หรือเอกสารประกอบการเรียนอย่างเดียว แต่มันยังเป็นตัวแจ้งข่าวสารที่สำคัญ ๆ และกิจกรรมที่โรงเรียนหรือมหาลัยนั้นจะมี เช่น มีการประการข่าวสารกิจกรรม กฎกติกาต่าง ๆ รวมไปถึงแบบประเมิยกิจกรรมต่าง ๆ แบบออนไลน์ หรือแม้กระทั่งการจ่ายค่าเทอมก็ยังเป็นระบบ E-payment ซึ่งทำผ่านการใช้ระบบออนไลน์ทั้งนั้น

Smart School เทคโนโลยีนี่้ให้คุณหรือให้โทษ

Smart School ไม่ใช่แค่การมีระบบศูนย์กลางการศึกษาออนไลน์เท่านั้น แต่มันคือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการพัฒนาโรงเรียน บางโรงเรียนมีการรณรงค์กันอย่างจริงจัง และเริ่มที่จะมีการปรับเปลี่ยนกันมากขึ้น เช่นการแสกนนิ้วใช้บริการพื้นที่ต่าง ๆ ในโรงเรยน การตรวจเช็คคนมาสายหรือคนโดดเรียนด้วยระบบ tracking ต่าง ๆ และส่งข้อความไปหาผู้ปกครอง หรือแม้กระทั่งการใช้บัตรนักเรียนที่มีการบันทึกระบบและข้อมูลลงไป เพื่อที่จะใช้สมาร์ทการ์ดเป็นตัวกลางที่จะเชื่อมต่อทุกอย่างในโรงเรียน การเช็คชื่อ เข้าโรงเรียน หรือซื้อของผ่านการใช้สมาร์ทการ์ด ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่ดูจะสะดวกสบายและน่าสนับสนุน

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตัวระบบนั้นก็ยังมีช่องโหว่ที่ถือว่าเป็นข้อบกพร่องอยู่ ตัวอย่างเช่นการซื้อของ โดยปกติการซื้อของในโรงเรียนจะใช้เงินจริงซื้อ แค่พอเปลี่ยนมาใช้สมาร์ทการ์ดที่เติมเงินได้แทน อาจจะมีปัญหาการค่าอาหารหรือสินค้าเกินจริงในกรณีที่เป็นเด็กเล็ก หรือเด็กที่ไม่ได้สนใจจะตรวจสอบจำนวนเงินในบัตร บางร้านค้าอาจจะคิดราคาเกินความจริง และแอบโกงเงินส่วนนั้นไปคนละเล็กคนละน้อย โดยที่ไม่มีใครรู้ เนื่องจากการตรวจสอบย้อนหลังของระบบแบบนี้จำเป็นต้องมีขั้นตอนมาก และไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญกับเงินจำนวนเล็ก ๆ ที่หายไป

ซึ่งถ้าผู้ปกครองไม่เห็นความผิดปกติบางอย่างและเข้าไปตรวจสอบ เด็ก ๆ ก็จะถูกเอาเปรียบไป

แบบนี้เรื่อย ๆ ควรจะต้องมีมาตรการที่จะระงับหรือตรวจสอบการใช้งานต่าง ๆ และมีบทลงโทษที่จริงจังสำหรับผู้ที่ผิดกฎไม่ต่างจากกฎอื่น ๆ ในโรงเรียน นี่ถือเป็นส่วนย่อย ๆ ของมุมมองสองมุมจากการใช้เทคโนโลยี แน่นอนว่ามันทำให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคิดพิจารณาดูถึงข้อบกพร่องหรีอช่องโหว่ต่าง ๆ รีบแก้ไขก่อนที่อาจจะเกิดสิ่งไม่ดีได้

 

ฮีโร่ที่ไร้ชีวิต อุปกรณ์เทคโนโลยีช่วยชีวิตเหล่าหมูป่าถ้ำหลวง

เป็นข่าวดังที่ไม่มีใครไม่รู้จัก กับข่าวทีมหมูป่าที่ติดถ้ำหลวง 13 ชีวิต ทุกคนคอยเป็นกำลังใจและลงแรงช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ทุก ๆ หน่วยงาน จนผลสุดท้ายได้รับข่าวดี เด็ก ๆ และโค๊ชสามารถออกมาจากถ้ำได้อย่างปลอดภัย ต้องของขอบคุณทุกคนและทุกหน่วยงานที่ลงทั้งแรงกายแรงใจ ทำให้เด็ก ๆ ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้มาได้ เรียกได้เลยว่าบุคคลเหล่านี้ที่ช่วยเด็ก ๆ ออกมาคือฮีโร่ตัวจริงเสียงจริงมีลมหายใจ แต่มีอีกหนึ่งสิ่งที่คอยช่วยเหลือน้อง ๆ มาตลอดแต่ไม่มีลมหายใจ นั่นก็คือเหล่าเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์ควบคู่ไปกับหน่วยงานช่วยเหลือ ซึ่งมีอยู่มากมายที่เป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจ และหลายชิ้นเกิดจากฝีมือของคนไทย

สำหรับเหตุการณ์นี้แค่กำลังแรงคนนั้น ไม่สามารถจะข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ได้ จึงทำให้มีหลายหน่วยงานยื่นมือเข้าช่วยโดยการส่งอุปกรณ์เทคโนโลยีเพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงจัดการอุปสรรคในการค้นหาออกไปและลดเวลาในการค้นหาลงอีกด้วย

จุดจบเหตุการณ์วิกฤตที่เลวร้าย และจุดเริ่มต้นของการพัฒนา

ปัญหาใหญ่ที่สุดของการค้นหาในครั้งนี้ คือเรื่องของปริมาณน้ำที่สูงขึ้นและควบคุมไม่ได้ เทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยจัดการกับปัญหาได้แก่

  • เครื่องไดโว เป็นเครื่องสูบน้ำลักษณะเป็นท่อที่แตกออกมาเป็นหลาย ๆ อัน เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำที่สูบออกให้ได้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถรับมือกับปริมาณน้ำได้มากเท่าที่ควร
  • ชิงหัวพญานาคมีลักษณะเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ที่เคยใช้งานเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 มาแล้วเครื่องนี้มีพลังสูบที่แรงและสามารถสูบน้ำได้ปริมาณมากกว่าไดโวหลายเท่า
  • ถังน้ำวนอากาศ เป็นเครื่องที่ช่วยในอากาศที่คนเราหายใจออกไปแล้ว กลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง ใช้กับนักดำน้ำทีมต่าง ๆ เพื่อทำให้เพิ่มเวลาในการดำน้ำได้มากขึ้นกว่าการใช้ถังหายใจปกติ

  ปัญหาต่อมาคือเรื่องของการหาตำแหน่งของน้อง ๆ และการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีอุปกรณ์ที่ใช้แก้สถานการณ์นี้ได้แก่

  • เครื่องอินฟราเรดสแกนเนอร์ เป็นเครื่องที่ใช้วิเคราะห์รูปทรงของเขา เพื่อที่จะได้สามารถรู้โครงสร้างทั้งหมดของถ้ำและคาดการได้ว่าเด็กจะอยู่ที่ไหน
  • เครื่องเฮโฟน อุปกรณ์สำหรับการสื่อสารระยะไกลได้ และสามารถที่จะส่งสัญญาทะเลุผนังถ้ำที่หนามาก ๆ ได้ เพื่อใช้ในการสื่อสารภายในถ้ำ
  • กล้องแสกนถ้ำหรือ RSK Rescue เป็นเครื่องอีกตัวที่ใช้ในการวิเคราะห์รูปทรงถ้ำ โดยการยิงเลเซอร์ออกไปสร้างรูปแบบของตัวถ้ำออกมา

ปัญหาอีกจุดหนึ่งที่สำคัญคือสภาพร่างกายและการเคลื่อนย้ายเด็ก ๆ ออกจาก ซึ่งอุปกรณ์ที่นำมาใช้ได้แก่

  • พาวเวอร์เจล อาหารเสริมที่ไว้ใช้สำหรับคนที่ใช้พลังงานไปมากและขาดอาหารเป็นเวลานาน ๆ
  • อุโมงค์ผ้าใบ ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะจากเหตุการณ์นี้ ด้วยเนื้อผ้าใบที่แข็งแรงและลอยน้ำได้ จึงถูกเสนอให้ใช้เป็นทางออกของเด็ก ๆ ในถ้ำ
  • เรือดำน้ำจิ๋ว อุปกรณ์คล้ายกระสวยที่สามารถให้คนเข้าไปนอนข้างในได้ เป็นอีกหนึ่งข้อเสนอในการนำเด็ก ๆ ออกมาจากถ้ำ
  • เปลน้ำ อีกหนึ่งความคิดเห็นที่ถูกเสนอเพื่อการเคลื่อนย้ายน้อง ๆ ออกจากถ้ำ โดยการให้น้อง ๆ นอนอยู่บนเปล และให้หน่วยซีลประกบสองข้าง และค่อย ๆ นำตัวออกมา แต่มีความเสี่ยงที่ถ้ำมีความมืด และแง่งหินทั้งเล็กและใหญ่ เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ หรือเฉี่ยวชนหินได้อีกเช่นกัน ทางผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำทางออกโดยการให้น้องดำน้ำแทน

มีหลายสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจอย่างมากที่ถูกเสนอเข้ามาใช้งานในเรื่องนี้ทั้งที่ได้ใช้งานจริงและไม่ได้ถูกใช้งาน แต่ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าจะมีการพัฒนาให้สมบูรณ์แบบขึ้นอีกในอนาคตจนสามารถใช้ได้จริง หรือใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลายได้มากขึ้นอย่างแน่นอน

IT Business Analyst อีกหนึ่งอาชีพความหวังของคนเรียนคอมแต่ไม่ชอบโค๊ด

ในยุคที่เทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนในสังคม ไม่แปลกที่จะมีการเปิดคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ และวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมาหลายมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้ศึกษาความรู้เฉพาะทางด้านคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ ถือได้เลยว่าเป็นคณะที่ค่อนข้างใหม่และเริ่มเป็นที่สนใจของใครหลาย ๆ คน เนื่องจากในสมัยก่อนมีแค่เป็นวิชาย่อย ๆ ไม่ได้มีการแยกตัวออกมาเป็นคณะที่มีหลักสูตรเป็นของตัวเองแบบนี้

แน่นอนว่านี่เป็นคณะที่ใฝ่ฝันของสายคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย ทั้งซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นความรู้เฉพาะทาง เช่นการเรียนรู้ระบบการทำงานต่าง ๆ ของซอฟแวร์ หรือที่น่าจะคุ้นเคยกันดีคือการขียนโค้ด ถ้าไม่ได้ชอบหรือสนใจจริง ๆ ถือเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจกับมัน แต่ปัญหาคือการที่มีคนที่ไม่ได้ชอบการเขียน หรืออยากได้ความรู้ที่เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ไปปรับใช้กับเรื่องอื่น ๆ เลยอยากเข้าคณะแบบนี้

แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากและน่าเบื่อสำหรับคนที่ไม่ได้ชอบด้านนี้จริง ๆ ด้วยเหตุนี้ บางมหาลัยเริ่ม

ที่จะพิจาราณาเรื่องหลักสูตร และได้เพิ่มหลักสูตรขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับคนที่มีความสนใจในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ทำให้คำว่าคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไม่ใช่คณะที่จะมีแค่การเรียนรู้เรื่องการเขียนโค้ดเพียงอย่างเดียว ซึ่งหนึ่งในทางเลือกนั้นก็คือ E-business หลักสูตรที่สามารถนำความรู้เทคโนโลยีไปใช้ในการทำงานตำแหน่ง BA หรือ IT Business Analyst นั่นเอง

Trend ธุรกิจ IT ที่มาแรง กับตำแหน่งที่น้อยคนจะมองเห็น

ทุกบริษัทจำเป็นต้องมีพนักงานในตำแหน่งต่าง ๆ มากมาย เพื่อทำงานและขับเคลื่อนบริษัทไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งผู้ประสานงานธุรกิจ เซลล์ หรือที่ปรึกษาธุรกิจก็เช่นกัน ตำแหน่งเหล่านี้มีความสำคัญอย่างมากในเกือบทุกบริษัท บริษัทที่มีสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวกับไอทีก็เช่นกัน ส่วนใหญ่คนที่มาทำงานตำแหน่งนี้จะเรียนบริหารธุรกิจ หรือการตลาดมา คนเหล่านี้จะมีความรู้ที่เกี่ยวกับธุรกิจ และการตลาดเป็นอย่างมาก แต่สำหรับบริษัทที่ทำเกี่ยวกับไอทีนั้น แค่ความรู้แบบนี้อาจจะยังไม่เพียงพอ เนื่องจากการทำจะเป็นเซลล์ ผู้ประสานงานธุรกิจ หรือ ที่ปรึกษาในบริษัทไอทีนั้น ความรู้เรื่องไอทีถือเป็นกุญแจสำคัญอีกประการหนึ่งนอกจากความรู้เรื่องธุรกิจ ซึ่งคณะเทคโนโลยีสารสนเทศนี้จึงมีการแยกหลักสูตรเอกออกมาเป็นหลาย ๆ สาย เพื่อให้นักศึกษาได้มีโอกาสที่จะเลือกในทางที่ตัวเองถนัดได้

หลายคนมองว่าถ้าเรียนคณะเทคโนโลยีแล้วไปเลือกเอกที่เป็นธุรกิจหรือสายอื่น ๆ จะทำงานอะไรได้นอกจากออกมาเปิดบริษัทเอง แต่ความจริงแล้วตำแหน่ง IT BA นี้ยังคงเป็นที่ต้องการอยู่  ยิ่งเทคโนโลยีโตขึ้นมากเท่าไร ก็มีบริษัทที่อยากที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเปิดใหม่เยอะขึ้น หรือบริษัทที่ทำเกี่ยวกับเทคโนโลยีอยู่แล้ว ต้องการคนเพิ่ม ถือเป็นโอกาสสำหรับคนที่เรียนคณะคอมแต่ไม่ได้ชอบเขียนโค๊ต หรือความรู้เฉพาะทางของคอมพิวเตอร์

นอกจากนี้ยังมีอีกมายมายหลายสายทีถูกแยกออกมาจากการเรียนคณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น DB (Database) CN (Computer Network) หรือ SD (Software Design) ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับใครที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย และสนใจในคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ลองศึกษาดูรายละเอียดและหลักสูตรต่าง ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจ

การนอนหลับที่ดี เพื่อหน้าตาที่อิ่มเอิบสดใส อ่อนกว่าวัย…เทคโนโลยีช่วยท่านได้อย่างไร

ในแต่ละวัน มนุษย์เราต้องการการพักผ่อน มนุษย์ใช้เวลานอนหลับประมาณ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด มากน้อยขึ้นกับแต่ละบุคคล การนอนหลับอย่างมีคุณภาพนั้น ถือเป็นการพักผ่อนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะในระหว่างการนอนหลับนั้น ทั้งร่างกายและสมองจะทำการฟื้นฟู ซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ให้ดีขึ้น

อาการนอนไม่หลับ หรือ Insomnia นั้น เป็นอาการผิดปกติในการนอน ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับไม่สนิท หรือ การตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก โดยอาการนอนไม่หลับนั้น จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย ขาดสมาธิ ระบบความจำมีปัญหา ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ความ​สามารถ​ใน​การ​วิเคราะห์​และ​ความ​คิด​สร้าง​สรรค์​ลด​น้อย​ลง ประสบอุบัติเหตุได้ง่าย ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพจิตใจอีกด้วย การนอนไม่หลับทำให้มีอาการไม่สดชื่น และอารมณ์ไม่ดีร่วมด้วย ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อตนเองแล้ว ยังจะส่งผลกระทบต่อบุคคลรอบข้าง และความสัมพันธ์กับผู้อื่น

เทคโนโลยีช่วยการนอนหลับได้อย่างไร ?

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการนอนหลับนั้น แบ่งได้เป็น ปัจจัยภายนอก อาทิ อุณหภูมิ แสง เสียง ในห้องนอน และปัจจัยภายใน เช่น ความเครียด ความเจ็บป่วย ฮอร์โมน ระดับคาเฟอีนในร่างการ และอื่น ๆ

ดังนั้น หลายบริษัทจึงเห็นความสำคัญของการนอนหลับที่มีคุณภาพ โดยนำเทคโนโลยีมาร่วมกับทางการแพทย์ สร้างสรรค์เป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดย

  1. วิเคราะห์พฤติกรรมผู้นอน

โดยการใช้เซ็นเซอร์และอัลกอริทึ่มบนที่นอน ในการติดตามการนอนและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ  เช่น ตรวจจับว่าผู้นอนนั้นหลับแล้วหรือยัง ? บันทึกระยะเวลาการนอนหลับก่อนที่จะตื่นขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิในห้อง วัดคลื่นเสียง ปริมาณก๊าซออกซิเจน ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อัตราการเคลื่อนไหว รวมถึงการกรนด้วย

  1. กระตุ้นการนอนหลับ

อุปกรณ์ส่งเสริมการนอนที่ผนวกผสมผสานเทคโนโลยีเข้าไปนั้น สามารถช่วยกระตุ้นการนอนหลับได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น หมอนกอดที่สามารถขยับขึ้น-ลง เสมือนการหายใจยุบพองเป็นจังหวะสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายผ่อนคลายและหลับง่ายขึ้น สังเกตุได้จากเด็กที่นอนซบบนอกแม่ จะหลับง่ายกว่า การสั่นเตือนเบา ๆ ให้ขยับเปลี่ยนท่านอน ป้องกันการปวดเมื่อยจากการกดทับ เครื่องปล่อยกลิ่นอโรมาที่ช่วยในการนอนหลับ การส่งเสียงดนตรี หรือแม้แต่เล่านิทานเพื่อช่วยให้เคลิบเคลิ้มและหลับง่ายขึ้น

ปัจจัยช่วยกระตุ้นส่งเสริมการนอนหลับนั้น จะช่วยให้การนอนหลับมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น การนอนหลับที่ลึกมากพอ จะทำให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth hormone) ที่ใช้ในการซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ผิวหนังหรืออวัยวะต่าง ๆ ที่สึกหรอ และสร้างสมดุลระบบการเผาผลาญอาหาร ทำให้ดูอ่อนเยาว์ ร่วมกับสารเมลาโทนินที่จะถูกสร้างมากที่สุดในเวลากลางคืนขณะที่เรานอนหลับ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์ผิวหนังจากสารอนุมูลอิสระต่าง ๆ ที่จะช่วยลดการอักเสบหรือภูมิแพ้ของผิวหนังต่าง ๆ

 

เกร็ดเล็กน้อยกับเทคโนโลยี 5G กับการอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัย

5G ถือเป็นเทคโนโลยีไร้สายประเภทหนึ่ง ที่มาพร้อมกับระดับความสามารถที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านของความเร็ว (speed) ที่เพิ่มมากขึ้น ระดับความหน่วงในการรับส่งข้อมูลที่ลดน้อยลง (lower network latency) และขนาดของความจุที่สูงขึ้น (capacities) โดยมาตรฐานความเร็วของ 5G จะอยู่ที่ 1- 10 Gbps (กิกะบิต ต่อ วินาที)

นำ 5G มาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร ?

5G เมื่อนำมาใช้กับ Smart Devices จำพวก สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต สมาร์ทวอชท์ ทำให้การรับชมและแชร์วีดีโอเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่สะดุดอีกต่อไป อีกด้วยความสามารถนี้ จะช่วยส่งเสริมผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีขึ้นในหลากหลายเทคโนโลยีที่นำมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน อาทิ AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) โดยการเพิ่มอัตราการส่งข้อมูลและยังค่อนข้างปลอดภัยอีกด้วย

5G เมื่อนำมาใช้กับ Internet Of Thing ซึ่งคือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อการยกระดับสู่บ้านอัจฉริยะ (smart home) โดยนำมาควบคุม ทีวี ตู้เย็น เครื่องฟอกอากาศ กล้องวงจรปิด หรือ ยานยนต์อัจฉริยะ (autonomous driving technology) ซึ่งจะช่วยเพิ่มระดับความปลอดภัยจากการที่รถยนต์สามารถทำกระบวนการตัดสินใจได้ภายในรถเอง หรือใช้ในทางการแพทย์ เพื่อฉายภาพ hologram ในการร่วมผ่าตัดระยะทางไกล เป็นต้น

สำหรับความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ IoT ต้องการนั้นจะแตกต่างจากที่ Smart Devices  ต้องการ คือ ต้องการความเร็วไม่มากแต่ต้องพร้อมรองรับการเชื่อมต่อจากอุปกรณ์จำนวนมาก ๆ ได้ในขณะเดียวกัน

แต่การจะเตรียมพร้อมไปสู่ 5G จะต้องผนวกกำลังจากทั้งภาครัฐในการกำกับดูแล แผนจัดสรรการประมูลคลื่นความถี่ และภาคเอกชนเพื่อเข้ามาลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง ทำให้คลื่นถูกใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยังต้องเตรียมความพร้อมให้แก่ประชาชน เพื่อที่จะนำไปใช้งานให้เกิดประโยชน์ และต้องคำนึงถึงด้านความปลอดภัยในการใช้งานด้วย

ข้อควรระวังกับเทคโนโลยี 5G

อันที่จริงการนำเทคโนโลยีใด ๆ มาใช้นั้น สามารถสร้างประโยชน์มหาศาล แต่ก็ต้องระมัดระวังในด้านของความปลอดภัยเป็นเงาตามตัวเช่นกัน อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้นั้น อาจมาจากผู้ไม่ประสงค์ดีลักลอบ ดักฟัง บันทึกข้อมูลลับต่าง ๆ ทรัพย์สินทางออนไลน์มาข่มขู่ หลอกลวงผู้ใช้ หรือ การควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ จากผู้ไม่ประสงค์ดีจากระยะไกล

ยกตัวอย่างเช่น ระบบบ้านอัจฉริยะ คนร้ายสามารถแฮ็กอุปกรณ์หลาย ๆ สิ่งในบ้าน อาทิ กล้องวงจรปิดเฝ้าดูทารก สมาร์ททีวี คอมพิวเตอร์ เพื่อการติดตามความเคลื่อนไหว การเดินทาง หรือข้อมูลส่วนบุคคลต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น คนร้ายอาจเลือกแฮ็กเครื่องทำกาแฟ เครื่องปรับอากาศ กาต้มน้ำ เตาอบ หรืออุปกรณ์ที่สามารถก่ออันตรายหรือความเสียหายต่อบ้าน หรือ รถคันนั้น ๆ ได้

หากอุปกรณ์เหล่านี้ ได้มีการฝังระบบรักษาความปลอดภัย และมีกระบวนการจัดการกรณีที่พบช่องโหว่ ไม่ว่าจะเป็นการออก patch หรืออัพเดทเฟิร์มแวร์อัตโนมัติ ก็จะช่วยให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ปลอดภัยยิ่งขึ้น แต่ที่สำคัญที่สุด คงจะเป็นนิสัยและพฤติกรรมการใช้งานเทคโนโลยีอย่างปลอดภัย การไม่เปิดเผยข้อมูลสำคัญ การตรวจสอบและมีสติต่อข้อมูล หรือการเตือนภัยที่ได้รับจากบุคคลที่ทั้งรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม

 

Chatbot เป็นได้มากกว่าแค่ระบบอัตโนมัติสำหรับตอบคำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ในหลาย ๆ เว็บไซต์ โดยเฉพาะเว็บขายสินค้าออนไลน์ มักจะมีช่องทางสื่อสารกับลูกค้าหรือผู้ที่มาเยี่ยมชมเว็บไซต์ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า การจ่ายเงิน การจัดส่งสินค้า การรับประกันสินค้า และอื่น ๆ เสมือนกับอาชีพ Call Center ที่ใช้บุคลากรมนุษย์ในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า แต่อย่างไรก็ตาม ในหลาย ๆ ครั้งพนักงาน Call Center ก็ต้องตอบคำถามเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา รวมถึงต้องใช้ความอดทนกับข้อร้องเรียน หรืออารมณ์ หรือการตำหนิจากลูกค้า ซึ่งเป็นการสร้างความกดดดัน ความเครียดโดยไม่จำเป็น ดังนั้นแล้ว เทคโนโลยีจึงถูกนำมาปรับใช้เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ สิ่งนั้นก็คือ Chatbot

Chatbot คืออะไร?

Chatbot หรือแชทบอท คือ Conversational Interface เป็นช่องทางในการให้ผู้เข้ามาใช้เว็บไซต์มีปฏิสัมพันธ์กับระบบหรือเว็บไซต์นั้น ๆ โดย Chatbot นั้นมีหน้าที่ในการอ่านข้อมูลที่ลูกค้าถาม ตอบข้อมูลที่เหมาะสมแก่คำถามนั้น ๆ รวมถึงประสานงานทำธุรกรรมต่าง ๆ ในระบบ

รูปแบบของ Chatbot ที่ใช้เวลาในการพัฒนาไม่นานมาก อาจเป็นเพียงการสร้างเงื่อนไขในการตอบคำถาม (Rule-Based) ให้กับ Chatbot ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดสินค้า หรือ ตอบคำถามที่พบบ่อยเบื้องต้น

แต่อย่างไรก็ตาม มนุษย์ต้องการสังคม ดังนั้น Chatbot ที่ตอบคำถามได้เพียงเชิงข้อมูลดิบหรือเชิงวิชาการเท่านั้น จะทำให้ Chatbot ไม่สามารถสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจแก่ผู้ใช้ได้ อีกทั้งบางครั้งผู้ใช้เลือกใช้ประโยคนำสมัย หรือพูดเล่นด้วยคำแสลงแล้ว Chatbot ไม่เข้าใจ ก็ส่งผลต่อ user experiences เช่นกัน

การสร้าง Chatbot ที่มีความฉลาดและมีบุคลิกเป็นของตนเอง (Persona) โดยนำเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) มาร่วมในการวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ใช้ปริมาณมาก ๆ เพื่อให้เจ้า Chatbot เรียนรู้บทสนทนาในรูปแบบที่แตกต่างกันและประยุกต์ใช้ในบทสนทนากับผู้ใช้ที่แตกต่างกันออกไป Chatbot จะต้องคำนึงถึงความเรียบรื่นของการสนทนา การเริ่มต้นและจังหวะการปิดจบบทสนทนา ลักษณะบทสนทนาที่ใช้ต้องมีความสุภาพ น่าฟัง ไหลลื่น ไม่สร้างความสับสนแก่ลูกค้า

ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยี AI สามารถเพิ่มความฉลาดให้กับ Chatbot ในการเข้าใจภาษาธรรมชาติ การคำนวนหาแนวโน้ม (trend) หาพฤติกรรมการใช้งาน และสร้างเงื่อนไข (rules) ในการตอบคำถามต่าง ๆ การวิเคราะห์ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ (Personalization) และนำเสนอสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่จะมีส่วนช่วยในการเพิ่มยอดขาย สร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า ไปจนถึงเป็นผู้ช่วยส่วนตัว (Personal Assistant) ให้แก่ลูกค้าอีกด้วย

จะเห็นว่า Chatbot นั้นจะถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น ทั้งนี้เพื่อสร้างบรรยากาศและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง Chatbot กับผู้ใช้งาน ทั้งยังช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการข้อมูล อย่างไรก็ตาม Chatbot นั้นยังคงเป็นระบบ ดังนั้น Chatbot จึงมาพร้อมกับความสามารถในการจัดเก็บบันทึกข้อมูลของผู้ใช้อย่างเป็นระเบียบ ค้นหาเปรียบเทียบกับข้อมูลในอดีต วิเคราะห์ค้นหาทางเลือก และผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมแก่ลูกค้า เรียกได้ว่า การพัฒนาของ Chatbot นั้น จะนำไปสู่การผสมผสานความสามารถของมนุษย์กับเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน

 

จะดีแค่ไหน ? กับแท็บเล็ตที่พับได้กลายเป็นโทรศัพท์ในอันเดียวกัน (Foldable Phone)

เคยรู้สึกไหมว่าบางครั้งกิจกรรมที่เราอยากทำ ก็ต้องการใช้หน้าจอขนาดใหญ่ แต่หลังจากนั้นขนาดที่ใหญ่เทอะทะก็ทำให้การพกพาไปในที่ต่าง ๆ ค่อนข้างจะไม่สะดวก มันจะดีแค่ไหนถ้าหากโทรศัพท์ของเราสามารถพับปรับขนาดให้เล็กลงก็ได้ หรือกางออกมาเพื่อให้ใหญ่ขึ้นก็ได้ในเวลาที่ต้องการ

ด้วยความล้ำหน้าของเทคโนโลยีจะช่วยตอบสนองความต้องการนี้ได้ด้วย “มือถือพับได้” ไม่ใช่โทรศัพท์แบบฝาพับแบบเมื่อก่อนนะ แต่เป็นมือถือที่พับหน้าจอได้จริง ๆ หรือที่เรียกกันในนามว่า Foldable Phone หลาย ๆ บริษัทได้พยายามคิดค้นและพัฒนาเจ้าสมาร์ทโฟนพับได้นี้อย่างต่อเนื่อง แต่ทว่า นอกจากการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคในหลาย ๆ ด้าน ยังคงต้องคำนึงถึงการออกแบบพัฒนาหน้าตาการใช้งาน หรือ UX (User Experience) สำหรับหน้าจอขนาดต่าง ๆ อีกด้วย

ผู้ใช้จะสามารถสัมผัสกับประสบการณ์การใช้สมาร์ทโฟนแบบใหม่ที่ไร้ขอบเขตมากยิ่งขึ้นได้ด้วยเจ้าสมาร์ทโฟนพับได้นี้ เมื่อผู้ใช้ทำการพับหน้าจอก็จะสามารถใช้งานได้เหมือนสมาร์ทโฟนปกติทั่วไป แต่เมื่อผู้ใช้กางมันออกลักษณะเหมือนเปิดสมุดหรือหนังสือ ก็จะได้พบกับแท็บเล็ตจอใหญ่ ที่สามารถตั้งการให้ใช้งาน 2 แอพพลิเคชั่นที่ต่างกันในแต่ละหน้าจอ หรือใช้งานเพียงแอพพลิเคชั่นเดียวด้วยจอใหญ่เลยก็ได้ (Full screen)

สมาร์ทโฟนพับได้ ทำได้อย่างไร ?

ทั้งนี้เทคโนโลยีสำคัญในการสร้างสมาร์ทโฟนพับได้ ก็คือหน้าจอแสดงผล OLED โดยหน้าจอนั้นจะต้องมีความยืดหยุ่น เพื่อที่จะทำให้หน้าจอสามารถถูกพับได้ โดย OLED (Organic Light Emitting Diodes) มีลักษณะคล้ายแผ่นฟิล์มที่มีส่วนประกอบเป็นสารอินทรีย์ โดยมีทั้งแบบโพลีเมอร์ (Polymer) และโมเลกุลขนาดเล็กที่สามารถเปล่งแสงเองได้เมื่อได้รับพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงาน เช่น แบตเตอรี่ โดย OLED จะบาง เบา และมีความยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถปรับให้โค้งงอได้ สิ่งที่ต้องค้นคว้าพัฒนาต่อไปคงจะเป็นอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จะต้องปรับโค้ง หรือพับได้ตามไปด้วย อีกทางเลือกหนึ่งคือต้องศึกษาวางแผนการจัดวางอุปกรณ์เหล่านั้นที่จะไม่ส่งผลกระทบกับการพับหรือบิดงอ จำพวก แผงวงจร แบตเตอรี่ และอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตามมาพร้อมกับความสามารถก็คือ น้ำหนักซึ่งเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน บวกกับแบตเตอรี่ที่จะต้องมีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อการรองรับการใช้งานที่มากขึ้น และจุดด้อยของสารอินทรีย์ที่ใช้ทำ OLED นั้นก็คือมีความเสียหายได้ง่ายเมื่อโดนน้ำหรือออกซิเจน ประกอบกับฟิล์มที่ให้กำเนิดสีน้ำเงินของ OLED นั้นมีอายุการใช้งานสั้นซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการจอเบิร์นได้ง่าย และที่สำคัญที่สุด ราคาที่มากับเทคโนโลยีนั้น คงเป็นสิ่งที่ต้องประเมิณพิจารณาตัดสินใจอีกครั้งเช่นกัน

 

GDPR ความปลอดภัยของผู้ใช้ ถือเป็นความหนักใจขององค์กรหรือไม่ อย่างไร?

ความเป็นส่วนบุคคล หรือ Privacy นั้น กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจ และเป็นเรื่องหลักที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ โดยทั่วไปแล้วหมายถึง สิทธิที่จะอยู่ตามลำพัง และเป็นสิทธิที่เจ้าของสามารถที่จะควบคุมข้อมูลของตนเอง ในการจะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยให้กับผู้อื่น สิทธินี้หมายรวมถึงทั้งปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์การต่าง ๆ

เมื่อเทคโนโลยีที่มาในหลากหลายรูปแบบ ทำให้ขอบเขตของความเป็นส่วนบุคคลนั้นลดน้อยลงไป จนส่งผลต่อความปลอดภัยของเจ้าของข้อมูลได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ Data Breach ทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลถูกขโมยไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง หลายประเทศจึงมีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองข้อมูลของผู้บริโภคหรือที่เรียกกันว่า GDPR

GDPR ย่อมาจาก General Data Protection Regulation คือ กฎหมายที่ให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภคฉบับใหม่ของ EU (European Union) โดยให้ความคุ้มครองกับพลเมืองที่อาศัยอยู่ในเขตสหภาพยุโรป เน้นว่าครอบคลุมทุกคนที่อาศัยอยู่ในเขต EU โดยไม่จำเป็นว่าต้องมีสัญชาติใน EU นะ กฎหมายนี้มีข้อกำหนดให้ธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริการทางอินเทอร์เน็ต ต้องปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภค ส่วนมากมักเกี่ยวกับว่าข้อมูลถูกนำไปใช้ที่ไหน และนำไปใช้อะไร และสิทธิต่าง ๆ ในการจัดการกับข้อมูลเหล่านั้น

อะไรบ้างที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล?

ข้อมูลส่วนบุคคลประกอบด้วยอะไรก็ตามที่จะบ่งบอก หรือระบุตัวตนได้ ในทางตรงไปตรงมา ได้แก่ เลขประจำตัว ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด รูปลักษณ์ ลักษณะทางกายภาพ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หมายเลขบัตรเครดิต ข้อมูลทางการแพทย์ และข้อมูลละเอียดอ่อนอื่น ๆ (Sensitive Information) เช่น ข้อมูลไบโอเมทริกส์ ไม่ว่าจะเป็น ลายนิ้วมือ เล็บ เส้นผม ดีเอ็นเอ และอื่น ๆ หรือรวมถึงข้อมูลในเชิงไลฟ์สไตล์ สถานะทางเศรษฐกิจ สถานะทางสังคม ศาสนาและความเชื่อต่าง ๆ ทั้งยังคุ้มครองข้อมูลที่สามารถชี้กลับมายังตัวบุคคลได้ด้วยเช่นกัน เช่น IP address หรืออัตลักษณ์บนโลกโซเชียล

ภายใต้ GDPR บริษัทใดก็ตามที่ถือครองข้อมูลเหล่านี้อยู่ ต้องวางมาตรการควบคุม และจัดการอย่างเหมาะสม เพื่อจัดเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดอย่างมั่นคงปลอดภัย ก่อนที่จะขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ๆ การขอความยินยอมจากผู้บริโภคจะต้องมีข้อความที่อ่านเข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่รวบรับชัดเจน ไม่คลุมเครือ และการถอนความยินยอมก็ต้องทำได้ง่ายด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าของข้อมูลสามารถขอให้หน่วยงานควบคุมข้อมูล ลบข้อมูลของตัวเองออกได้ หรือที่เรียกว่า สิทธิ์ที่จะถูกลืม (Right to be Forgotten) โดยองค์กรจะต้องจัดการให้ตามคำขออย่างเหมาะสมรวดเร็ว

บทลงโทษจากการไม่ปฏิบัติตามกฎนั้นถือว่าค่อนข้างแรงทีเดียว รวมถึงหากเกิดกรณี Data Breach ขึ้น ค่าปรับนั้นสูงถึง 4% ของผลประกอบการรายได้ทั่วโลกทั้งหมด หรือกว่า 20 ล้านยูโรเลย

 

วิวัฒนาการของภาคการเกษตร กับการใช้โดรน (drone) แทนแรงงานมนุษย์

การเกษตร การทำฟาร์ม โดยปกติแล้วจะเกี่ยวเนื่องกับพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่ ที่จะต้องใช้แรงงานคนค่อนข้างมากเพื่อการควบคุมดูแลและบริหารจัดการได้อย่างทั่วถึง ด้วยการนำเทคโนโลยีอย่างโดรน (Drone) หรืออากาศยานไร้คนขับ  (Unmanned Aerial Vehicles) เข้ามาช่วยส่งเสริมการทำการเกษตรนั้น จะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าการเกษตร ลดต้นทุนการผลิต ประหยัดเวลา ประหยัดแรงงานคน ยิ่งในภาวะที่แรงงานภาคเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจนเกือบจะขาดแคลนด้วยแล้ว ยิ่งช่วยเกษตรกรเจ้าของกิจการได้มากขึ้น ทั้งยังสามารถควบคุมคุณภาพการผลิตของสินค้าเกษตรได้อย่างแม่นยำได้อย่างดียิ่งขึ้นด้วย

Drone นำมาใช้ในไร่นาได้อย่างไรบ้าง?

  1. เก็บข้อมูลภายในไร่นาเพื่อนำมาวิเคราะห์

การใช้โดรนที่มีกล้องติด เพื่อบินขึ้นไปถ่ายภาพทางอากาศ เพื่อเก็บข้อมูลของการเจริญเติบโตของพืชที่แตกต่างกันแล้วแสดงผลแบบแยกพื้นที่ออกเป็นสีต่าง ๆ ง่ายต่อการวิเคราะห์หาการเจริญเติบโตของพืชในแต่ละจุด มีเซนเซอร์เพื่อวัดความชื้นของอากาศ อุณหภูมิในดินและในอากาศ แสงแดด แรงลม ปริมาณน้ำฝน ในช่วงเวลาต่าง ๆ ผนวกกับข้อมูลอุตุนิยมวิทยา Macroclimate หรือ เรดาร์ ข้อมูลดาวเทียม โมเดลสภาพอากาศ เพื่อนำมาวิเคราะห์วางแผนทางการเกษตรที่เหมาะสมต่อไป

  1. ป้องกัน กำจัด ศัตรูพืช

โดรนสามารถนำมาใช้ในการรดน้ำ การให้ฮอร์โมน การหว่านเมล็ดพันธ์ การหว่านปุ๋ย เพื่อลดข้อจำกัดของต้นพืชที่สูงทำให้แรงงานมนุษย์ไม่สามารถรดได้อย่างทั่วถึง โดยที่โดรนสามารถปรับระดับความสูงระหว่างตัวมันเองและต้นพืชอัตโนมัติ และสามารถติดตั้งระบบอัติโนมัติให้โดรนมีการปรับระดับหัวฉีดพ่นให้พ่นแบบเบาลง หรือแรงขึ้นได้ให้สอดคล้องกันกับความสูงของต้นพืช ซึ่งจะทำให้การพ่นนั้นจะไปถึงต้นพืชทุกต้นแน่นอน รวมถึงกำหนดช่วงเวลาของการให้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม ซึ่งอาจต้องทำในเวลาอันรวดเร็ว สำหรับต้นพืชที่ไม่สูงนัก การใช้โดรนก็ยังคงเป็นประโยชน์เพราะต้นพืชไม่ต้องโดนรุกรานเหยียบย่ำโดยมนุษย์เช่นกัน ยิ่งกว่านั้น เมื่อนำโดรนมาติดตั้งเครื่องตรวจจับความร้อน เมื่อตรวจจับได้ว่ามีสัตว์เข้ามาใกล้ในพื้นที่ฟาร์ม โดรนสามารถปล่อยคลื่นอัลตราโซนิค (ultrasonic waves) ซึ่งเป็นคลื่นเสียงที่มนุษย์ไม่ได้ยินเพื่อขับไล่สัตว์เหล่านั้นไปจากฟาร์มโดยไม่ต้องทำร้ายสัตว์ ทำให้สัตว์เหล่านั้นไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ และที่สำคัญ โดรนสามารถติดตั้งโปรแกรมระบบกันหลงทางเพื่อที่เจ้าโดรนนั้นจะสามารถบินกลับมาตำแหน่งเดิมได้เองด้วย

จะเห็นว่า ในภาคการเกษตร โดรนเป็นอุปกรณ์ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อก่อประโยชน์ได้ในหลาย ๆ ด้าน โดรนตัวหนึ่ง ๆ สามารถทำงานได้ถึง 10-20 ไร่ต่อชั่วโมง ซึ่งจะทำประหยัดเวลามากกว่าการใช้แรงงานคน ทั้งยังวางแผนควบคุมคุณภาพการผลิตและคาดการณ์ปริมาณผลผลิตได้อย่างแม่นยำอีกด้วย