หมดปัญหาเรื่องการลุกจากที่นอนในตอนเช้า กับเทคโนโลยีที่ทำให้คุณไม่สามารถนอนต่อได้

หลังจากการทำงานที่เหนื่อยล้าในแต่ละวัน ทุกคนต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอ เพื่อให้รู้สึกสดชื่นในตอนเช้าวันถัดไป วิธีที่ดีที่สุดในการพักผ่อนก็คือการนอน แต่บางคนก็ไม่สามารถที่จะนอนเร็วได้เนื่องจากยังต้องทำงาน ทำการบ้าน อ่านหนังสือหรืออีกมากมาย ซึ่งผลกระทบทำให้ต้องนอนดึกและนอนไม่พอ ที่เราจะสังเกตได้ง่าย ๆ เลยคือการตื่นสาย ทำให้ไปเรียนและไปทำงานไม่ทัน ต่อให้มีนาฬิกาปลุกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตื่นได้ภายในครั้งแรกที่ได้ยินเสียงเตือน

แต่ยังมีทางออกให้กับสายหลับลึกทั้งหลาย ด้วยเทคโนโลยีการปลุกแบบใหม่ที่จะทำให้ไม่สามารถหลับต่อได้ ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบอุปกรณ์ ให้เราได้เลือกใช้ตามความชอบและความเหมาะสม

รู้จักกับเครื่องมือดับฝันหวานในตอนเช้าประเภทต่าง ๆ ถ้าทนได้ก็ทนไป

อุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาการตื่นตามเวลา โดยการใช้หลักการทำให้ผู้ใช้อยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถนอนต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสียงให้รำคาญ หรือการสั่นในรูปแบบต่าง ๆ อุปกรณ์เหล่านี้เป็นตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ปลุกที่มีวิธีการปลุกที่น่าสนใจ

  • นาฬิกาปลุกหยุดได้ถ้าเล่นเกมผ่าน เป็นนาฬิกาปลุกที่มีรูปแบบการปลุกที่ธรรมดาเหมือนกับนาฬิกาปลุกทั่วไป แต่สิ่งที่พิเศษสำหรับนาฬิกาปลุกชนิดนี้คือ การที่จะปิดเพลงจากเครื่องได้นั้น ผู้ใช้ต้องเล่นเกมที่มากับนาฬิกาให้ผ่าน ลักษณะนาฬิกาจะเป็นเหมือนตู้คีบตุ๊กตาขนาดย่อม ที่มีเลขโชว์เวลาอยู่ด้านบน ซึ่งต้องทำการคีบตุ๊กตาที่อยู่ในตู้นาฬิกานี้ออกมาให้ได้ เพลงถึงจะหยุด เพราะฉะนั้นถ้าไม่ลุกขึ้นมาตั้งใจเล่นจนคีบได้ เพลงก็จะคอยกวนการนอนจนทนไม่ได้
  • แบบที่สองคือเตียงสั่น เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เชี่อมต่อกับโทรศัพท์และไว้ที่เตียง เมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้ เครื่องนี้จะส่งแรงสั่นไปทั้งเตียง และยังมีระบบที่ตรวจจับว่า ถ้าผู้ใช้ลุกจากเตียงไปแล้ว แต่กลับมานั่งมานอนใหม่ มันจะทำการสั่นอีกครั้ง จนกว่าจะมีการปิดระบบที่ถูกต้อง
  • เตียงดีด เป็นเตียงพิเศษที่สามารถตั้งเวลาได้ เมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้ เตียงจะทำการดีดตัวออกอย่างแรง เตียงจะตั้งขึ้นเกือบ 90 องศา เพื่อให้ผู้ใช้ตกจากเตียงจนตื่น ถือเป็นนวัฒกรรมที่เป็นที่สนใจกันในโลกโซเชียล จากคลิปไวรัลรีวิวสินค้าตัวนี้

ถึงแม้ว่าจะฟังดูเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ และดูมีประโยชน์สำหรับคนในยุคนี้ แต่บางสิ่งก็อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ ยกตัวอย่างจากเตียงดีด การที่คนเราหลับสนิท แล้วถูกปลุกขึ้นอย่างกระทันหัน ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผิดธรรมชาติไป นอกจากนี้ตัวเตียงสามารถเลือกระดับความแรงของการดีดได้ ซึ่งมีตั้งแต่ขั้นเบาสุดถึงแรงสุด ถ้าเครื่องทำงานผิดพลาดจนดีดแรงเกินไปขึ้นมา อาจจะทำให้ผู้ใช้ได้รับบาดเจ็บหรือข้าวของเสียหายได้ เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะเลือกใช้งานให้เป็นประโยชน์จริง ๆ ความคำนึงถึงการใช้งานที่พอประมาณ และไม่ทำให้เราเสียสุขภาพ แต่หนทางที่ดีที่สุดคือก็หาเวลานอนให้เพียงพอ และตื่นเองตามธรรมชาติ นอกจากจะไปทำงานหรือเรียนทันเวลาแล้ว สุขภาพยังดีอีกด้วย

 

 วีลแชร์อัตโนมัติในรถ นวัตกรรมการเคลื่อนย้ายคนชราและคนพิการ

หลายคนที่มีคนชราหรือคนพิการที่ต้องดูแลที่บ้าน และอาจจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ หรือไปไหนมาไหนเองได้ เราก็อาจจะมีวีลแชร์ไว้ให้สามารถไปไหนมาไหนเองได้ในบริเวณบ้าน โดยปกติแล้วผู้ป่วยหรือคนชราส่วนใหญ่จะมีการพบแพทย์หรือตรวจอาการต่าง ๆ อยู่เสมอ ๆ ซึ่งปัญหาอยู่ตรงการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหรือคนชราไปโรงพยาบาล

ถ้าเป็นคนที่ยังมีแรงลุกเดินไหวก็อาจจะลุกจาก วีลแชร์และมานั่งที่รถได้ แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่สามารถขยับตัวได้ หรือไม่มีแรงที่จะลุกเดินเองได้ ก็จำเป็นต้องมีคนมาอุ้มขึ้นรถ หรือเรียกรถพยาบาลมารับทุกครั้งที่ต้องไปโรงพยาบาล ซึ่งวิธีเหล่านี้ก็ค่อนข้างมีความเสี่ยงและข้อเสียอยู่ เช่นการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหรือคนชราด้วยการอุ้มเองนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากการอุ้มจำเป็นต้องใช้แรงและจับร่างกายของคนที่จะอุ้มไว้ ถ้าหากอุ้มผิดวิธีแล้ว ร่างกายของคนที่ถูกอุ้มอาจจะเกิดอาการช้ำ หรือบาดเจ็บได้ อีกทางหนึ่งก็คือวิธีการเรียกรถพยาบาลมาเคลื่อนย้าย ก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงและวุ่นวายอยู่พอสมควร

ด้วยเหตุนี้ จึงมีนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหรือคนชราได้อย่างถูกวิธีและปลอดภัย นั่นก็คือ วีลแชร์อัตโนมัติที่เชื่อมต่อกับรถ ซึ่งถูกดัดแปลงมาจากวีลแชร์ธรรมดา แต่มีกลไกลที่จะสามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยได้โดยที่ไม่ต้องออกแรง หรือเสี่ยงที่ทำให้ผู้ป่วยหรือคนชราบาดเจ็บ

 รู้จักกับเบาะวีลแชร์ในรถ ประโยชน์ที่คุ้มค่ากับผู้ป่วยและคนชรา     

                การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเป็นเรื่องสำคัญ อุปกรณ์ชิ้นนี้จึงเป็นตัวช่วยอย่างดีในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหรือคนชราที่ไม่สามารถเดินไปขึ้นรถ ลักษณะของวีลแชร์นี้จะเป็นเหมือนวีลแชร์ทั่วไป ทั้งรูปทรงและการควบคุม แต่จะต่างกันตรงนี้มันสามารถที่จะเชื่อต่อกับอุปกรณ์เฉพาะที่ถูกติดตั้งไว้ในรถ เป็นลักษณะคล้าย ๆ เครน ที่ไว้ใช้ยกตัวรถเข็นวีลแชร์ ซึ่งเครนนี้จะมีไว้ใช้ต่อกับช่องต่อด้านหลังรถวีลแชร์ หลักการคร่าว ๆ คือให้ผู้ป่วยควบคุมวีลแชร์มาที่รถ จากนั้นให้เครนเข้ามาประกอบกับส่วนหลังของวีลแชร์ จากนั้นเครนจะยกวีลแชร์ขึ้น และนำเข้าไปในรถได้เลยโดยที่ผู้ป่วยหรือคนชราไม่จำเป็นต้องลุกออกจากที่นั่งเลย

การเคลื่อนย้ายโดยใช้วีลแชร์อัตโนมัตินี้สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหรือคนชราได้อย่างถูกวิธีกว่าวิธีการอุ้มเอง แต่ข้อเสียที่ตามมาคือรถที่ใช้งานนั้น คือจำเป็นที่จะต้องเอาเบาะที่มาจากตั้งแต่แรกออก เพื่อทำการติดตั้งระบบ และเครนยก และเผื่อพื้นที่ไว้ให้วีลแชร์สามารถเข้ามาไว้แทนที่ได้ อาจจะมีปัญหาเรื่องความสวยงามของรถสักหน่อยถ้าหากเอาเบาะที่มากับรถออกไป แต่สำหรับคนที่ตั้งใจจะไว้ใช้งานจริง ๆ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่รับรองถึงประโยชน์และความปลอดภัยในการเคลื่อนย้ายอย่างแน่นอน

 

เรื่องเหนือธรรมชาติที่ใคร ๆ ก็ทำได้ CG Visual Effect ระดับโลกในมือเรา

หลายคนที่เป็นคอหนังแอคชั่น หรือหนังเหนือธรรมชาติต่าง ๆ คงจะตื่นตาตื่นใจกับความยิ่งใหญ่ของฉากบู้ล้างผลาญที่ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ ทุกอย่างที่ปรากฏในหนังคือการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกเข้าช่วย เพื่อรังสรรค์ผลงานที่เกินขีดจำกัดของความเป็นจริงได้ ทุกคนอาจจะคุ้นหูกันกับ CG Visual Effect ที่ถูกใช้กันในวงการหนังและละครมากมายทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่ากว่าจะสามารถทำ CG ให้ออกมาดีเหมือนที่เราดูกันนั้นใช้เวลาเป็นอย่างมาก และจำเป็นต้องมีความรู้ในด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิคเป็นอย่างสูงถึงจะสามารถทำได้

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไกลตัวมากสำหรับพวกเรา แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีคลิปไวรัลสั้น ๆ จากชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ออกมาแสดงมายากลสุดน่าทึ่งให้ทุกคนบนโลกอินเตอร์เน็คได้ดูกัน ไม่ว่าจะเป็นการเอาของจากในจอคอมพิวเตอร์ออกมาเป็นของจริง การเสกสิ่งของที่มีอยู่ให้เข้าไปอยู่ในหน้าจอ และสิ่งมหศจรรย์มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่มาจากการที่เขาใช้ CG ในการตัดต่อทั้งนั้น นี่ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่บอกได้ว่าการทำ CG ในยุคนี้มันไม่ได้ยากอีกต่อไป ใคร ๆ ก็ทำได้ถ้าคิดจะทำ ไม่จำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์ที่ราคาแพง ๆ หรือต้องใช้จำนวนคนทำมากมาย

ในตอนนี้มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์มากมายที่สามารถทำ CG เหมือนในหนังฮอลลีวูดได้ด้วยตัวเอง รวมไปถึงคลิปการสอนตัดต่อมากมายในโลกของอินเตอร์ให้ได้เข้าไปศึกษากัน เรียกได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป

CG กับการสร้างรายได้ง่าย ๆ ในช่องทางออนไลน์

                นับเป็นยุคทองของโซเชียลมีเดียเลยก็ว่าได้ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โลกออนไลน์ได้โตขึ้นอย่างรวดเร็วและมีการหารายได้จากโลกออนไลน์หลายรูปแบบ หนึ่งในหนังคือ Content Creator หรือคนทำ content ลงในสื่อออนไลน์นั่นเอง ซึ่งก็ถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภทด้วยกัน แต่หนึ่งประเภทที่มาแรงแซงทางโค้งโดยการันตรีจากยอด Subscribe ที่ถึงล้านได้ภายในปีนิด ๆ นั่นก็คือ CG Content หรือการทำ CG ลงช่องทางของตัวเอง เราจะสามารถเห็นตัวอย่างได้มากมาย ที่เราคุ้นเคยกันก็ Facebook YouTube คนเหล่านี้ศึกษาและเรียนรู้การทำ CG ด้วยตัวเอง และลดขนาดของ CG ลงให้สามารถอยู่อยู่ในคลิปวีดีโอในโซเชียลมีเดียได้โดยที่ยังมีความอลังการพอ ๆ กับวงการหนัง แต่นำมันเข้ามารวมกับ Content แบบธรรมดา ๆ ทำให้กลายเป็นที่น่าสนใจสำหรับชาวโซเชียลทั้งหลาย และสามารถสร้างรายได้จากตรงนี้ได้เป็นอย่างดี และมีแนวโน้มว่าจะโตและสามารถสร้างกำไรอีกมากมายในอนาคต

สำหรับใครที่สนใจเรื่อง CG หรือการทำ Visual Effect อย่าไปคิดว่ามันยุ่งยากเกิน หรือจำเป็นต้องใช้ทุนที่สูง เพราะในยุคนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกและแหล่งเรียนรู้อีกมากมายให้ได้ลองฝึกลองทำกัน ย้ำว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวอีกต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะลงมือทำหรือไม่

 

ประหยัดแรงและเวลาในการเก็บลูกเทนนิส Tennibot หุ่นยนต์เก็บลูกประจำสนาม

                นักเทนนิสหลายคนปัญหาเล็ก ๆ ในเวลาฝึก เนื่องจากเวลานักเทนนิสจะทำการซ้อม ไม่ว่าจะเป็นซ้อมเสิร์ฟ หรือการตีแบบปกติ แน่นอนว่าจำเป็นต้องใช้ลูกเทนนิสจำนวนมาก ปัญหาที่ตามมาก็คือลูกที่ใช้ซ้อมถูกตีออกไปจนหมด และต้องมานั่งเสียเวลาเก็บลูกเป็นร้อย ๆ ลูกใส่ตะกร้า รวมไปถึงทำให้เครื่องเย็นและปวดหลังได้อีกด้วย จึงมีสิ่งประดิษฐ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการแก้ปัญหานี้ นั่นคือเครื่องเก็บลูกเทนนิสที่มีลักษณะเป็นปล่องใหญ่ ๆ ที่จะมีแรงลมดูดลูกเทนนิสเข้าไปแบบอัตโนมัติ แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องใช้แรงคนในการถือปล่องนี้ไปดูดทีละลูกอยู่ดี ซึ่งก็แก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุดนัก

แต่ ณ ตอนนี้มีสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงกว่าเดิมในการจัดการกับการเก็บลูกนั่นคือหุ่นยนต์ Tennibot หรือหุ่นยนต์เก็บลูกเทนนิสอัตโนมัติซึ่งแตกต่างกับปล่องเก็บลูกอย่างสิ้นเชิง สำหรับทั้งคนที่ไม่อยากเก็บลูกเอง หรือไม่อยากจ้างเด็กเก็บบอลมาเพื่อเก็บแค่ในการซ้อมหรือการตีเล่น ๆ Tennibot ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้

คุณสมบัติสุดได้เปรียบ จะคนเก็บหรือเครื่องเก็บลูกแบบเก่าก็สู้ไม่ได้

ลักษณะภายนอกคร่าว ๆ ของหุ่น Tennibot คือเป็นเหมือนเครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติ แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่า และมีตะกร้าเก็บลูกอยู่ด้านหลังเครื่อง ซึ่งการทำงานคือใช้กล้องด้านหน้าเป็นเหมือนคล้าย ๆ เซนเซอร์ในการจับหาลูกบอลตรงบริเวณนั้น

เพื่อที่จะดูดเข้าไปในเครื่องและเก็บไว้บนตะกร้าได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่ง Tennibot สามารถที่จะชาร์จแบตครั้งเดียวแล้วใช้งานได้ 3 ถึง 4 ชั่วโมง ใช้เวเลาเก็บไม่นาน จริงอยู่ที่ขนาดใหญ่กว่าหุ่นยนต์เครื่องดูดฝุ่น แต่ก็ยังสามารถแพ็คเก็บ และเคลื่อนย้ายได้สะดวก นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถที่จะควบคุมตัวหุ่นได้จากระยะไกล และยังสามารถนับจำนวนลูกที่เก็บได้แบบ Real-time อีกด้วย

ถ้าวัดกันข้อต่อข้อแล้วถือเป็นหุ่นยนต์ที่มีคุณภาพดีกว่าเครื่องเก็บลูกเทนนิสทรงปล่องทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นจำนวนในการเก็บ ลักษณะการทำงานที่ต้องใช้คนเลยแม้แต่คนเดียว ระบบประมวลผลต่าง ๆ และขนาดของอุปกรณ์ ถือว่าใช้งานได้ง่ายกว่าและเร็วรวดกว่าหลายเท่า

เทคโนโลยีเหนือระดับ Application Tennibot  

                แน่นอนว่าอะไร ๆ เดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็เป็นอินเตอร์เน็ต และทุก ๆ คนก็ใช้สมาร์ทโฟนกัน แม้แต่เด็กเล็ก ๆ หรือแม่ค้าขายของก็มีใช้กันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการที่มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ แล้วสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้นั้น ถือเป็นเรื่องที่ได้เปรียบมากในการตลาดยุคนี้

ซึ่ง Tennibot เห็นถึงจุดนี้เช่นกัน เพราะTennibot มีการใช้ Application sync เข้ากับตัวหุ่นยนต์ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมมันได้ตามใจต้องการผ่านสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นการออกคำสั่งให้ไปเก็บบอลบริเวณไหนของสนาม การนับจำนวนลูกที่เก็บได้ ซึ่งผู้ใช้สามารถใส่ได้ตามกำหนด เพื่อเป็นการเช็คจำนวนลูกว่ามีครบหรือหายไปที่ไหนบ้างหรือเปล่า ทั้งหมดถูกควบคุมผ่าน Application ที่มากับตัวเครื่องได้ทั้งหมด เพิ่มความสะดวกสบายและทันสมัยให้กับนักกีฬาเทนนิสได้อย่างมีระดับ

 

นวัตกรรมจอเสริมโน๊ตบุ๊คเคลื่อนที่ ไม่ต้องแบกจอใหญ่อีกต่อไป

ไม่ว่าจะเป็นการพรีเซ้นงาน เล่นเกม หรือดูหนังในโน๊ตบุ๊ค หลายคนต้องการที่จะมีจอเพิ่มเข้ามาอีกสัก 2 จอ เพื่อจะสามารถใช้งานที่ละหลาย ๆ หน้าจอได้ เหมือนได้ดูหนังหลาย ๆ จอ หรือเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกม แต่เราสามารถทำแบบนี้ได้ที่บ้านเท่านั้น เนื่องจากถึงคอมที่เราใช้จะเป็นโน๊ตบุ๊ค แต่จอที่เราต่อเสริมนั้นเป็นจอคอม หรือทีวี ซึ่งไม่สะดวกสบายในการเคลื่อนย้ายเลย เพราะมีขนาดและฐานที่ใหญ่ และมีน้ำหนักมาก ซึ่งมันจะดีกว่าและสะดวกสบายกว่ายิ่งขึ้น ถ้าเราสามารถยกจอที่เราต่อเสริมไปไหนมาไหนกับเราได้ และในตอนนี้มีการคิดค้นอุปกรณ์ที่สามารถพกจอแบบเคลื่อนที่ได้ติดไปกับตัวเครื่องคอม โดยที่ไม่มีฐานและน้ำหนักมากเกินไป และเป็นที่น่าสนใจมากนโลกของอินเตอร์เน็ต

มีคลิปไวรัลคลิปหนึ่งที่ออกมาเกี่ยวกับการใช้จอเสริมแบบนี้ ซึ่งลักษณะจะเป็นตัวเก็บจอแสดงผลทรงสี่เหลี่ยมขนาดเท่ากับหน้าจอโน๊ตบุ๊คของเรา แต่ด้านในจะเป็นช่องไว้เก็บหน้าจอได้ 2 จอ ซึ่งจะมีสาย USB มาให้ต่อกับเครื่องเพื่อให้จอแสดงผลได้ ถือได้ว่าเป็นประโยชน์มาก ๆ สำหรับหลาย ๆ คน

ช่วยเพิ่มการตัดสินใจ สเปคและรายละเอียดที่ควรรู้ของอุปกรณ์ต่อจอเสริม

                อุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นอุปกรณ์เสริมที่ต่อแยกมาจากตัวโน๊ตบุ๊ค โดยผู้ใช้สามารถดึงจอออกมาสองจอทั้งซ้ายและขวา หลังจากนั้นเสียบสาย USB หน้าจอก็จะแสดงผลและเริ่มใช้งานได้ ซึ่งถ้าพูดถึงสเปคหรือความคำชัดของจอ ก็ถือว่าใช้ได้ในระดับหนึ่งสำหรับจอเสริมของโน๊ตบุ๊ค เริ่มจากขนาดหน้าจอ อย่างทราบกันไปแล้วว่าตัวอุปกรณ์เสริมนี้จะมีหน้าจอเท่ากับเครื่องของผู้ใช้งาน เพราะฉะนั้นจึงมี 3 ไซส์ให้เลือกใช้ คือ 13 15 และ 17 นิ้ว หรือถ้าแปลงเป็นเซนติเมตรก็จะได้เป็น 33 38 และ 43 เซนติเมตร แล้วแต่ขนาดจอของผู้ใช้งาน ต่อมาคือความคมชัดของภาพ อยู่ในระดับ Full HD ที่มี resolution เป็น 1920X1080 จอเป็น LED ซึ่งสามารถใช้รันกับ USB พอร์ท 3.0 หรือ USB พอร์ท  2.0 ก็ได้ นอกจากนี้ลักษณะการขยับจอ ผู้ใช้งานหมดจอได้แบบ 180 องศา รอบทิศทางในเวลาที่ต้องการจะแชร์จอให้กับคนอื่น ๆ ดูด้วย

อุปกรณ์นี้เป็นประโยชน์ต่อการประชุมต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องมีการแสดงจอให้กับคนอื่น ๆ ดู และเรื่องการเคลื่อนย้ายต่าง ๆ แต่ราคาก็ค่อนข้างที่จะอยู่ประมาณกลางถึงสูง สนนราคาประมาณ 416 เหรียญสหรัฐ แปลงเป็นเงินไทยประมาณ 14,000 กว่าบาท ถ้ามองอีกมุมหนึ่งเราสามารถที่จะซื้อคอมเครื่องใหม่ได้เลย แต่ในทางกลับกัน สำหรับคนที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ ราคา 14,000 ที่แลกกับสองเสริมถึงสองจอ และการเคลื่อนย้ายไปที่ไหนก็ได้น่าจะคุ้มค่ากว่าการซื้อจอคอมจริง ๆ สองจอที่มีขนาดเท่ากับโน๊ตบุ๊คหรือใหญ่กว่า ขึ้นอยู่กับการพิจาราณาและความเหมาะสมของแต่ละคน

 

เทคโนโลยีล้ำยุคที่กลายเป็นจริง ไมโครชิพสามารถใช้กับคนได้แล้ว

เราอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วเกี่ยวกับไมโครชิพ ชิพขนาดเล็กสารพัดประโยชน์ที่ถูกนำมาใช้กันในหลายรูปแบบ และมีหน้าที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้ติดตามผล แสกน หรือตรวจจับสิ่งต่าง ๆ เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อโลกเราในยุคนี้มาก แต่ใครจะคิดว่าวันนึงไมโครชิพจะถูกพัฒนาขึ้นมา จนกระทั่งสามารถนำมาใช้กับสิ่งมีชีวิตได้

เมื่อหลายปีที่ผ่านมา มีการรายงานข่าวเรื่องของการนำไมโครชิพไปไว้ในตัวของสุนัข เพื่อใช้ในการระบุตัวตนของสุนัข รวมไปถึงมตามหาเจ้าของได้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น ในไมโครชิพจะมีข้อมูลของชื่อเจ้าของ รายละเอียดข้อมูลที่สำคัญต่าง ๆ และ GPS เพื่อใช้ติดตามตัวของสุนัข ถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่หน้าจับตามองมากในช่วงนั้น แต่ก็มีเสียงวิพากย์วิจารณ์มากมายทั้งในด้านบวกและลบจากคนทั่วไปและคนรักสัตว์ เนื่องจากมีการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายของสัตว์ อาจจะสามารถเกิดผลข้างเคียงในการใช้งานก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ก็มีเรื่องให้ตกใจกันอย่างมากเกิดขึ้น เมื่อทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรับรองและอนุญาตให้สามารถฝังไมโครชิพไว้ในร่างกายของคนจริง ๆ ได้ ถือเป็นประเด็นที่หลายคนกำลังกังวลและไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ฝังไมโครชิพเพื่ออะไร และชีวิตจะดีขึ้นจริงหรือไม่

จุดเริ่มต้นของการฝังไมโครชิพในคน จริง ๆ เริ่มจากที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

เพื่อที่จะใช้ในทางการแพทย์ ทำให้ทางแพทย์สามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธืภาพมากขึ้น ไมโครชิพจะมีขนาดเล็ก เปรียบได้เหมือนกับเม็ดข้าวเม็ดหนึ่ง ที่มีวงจรและระบบการเก็บข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งจากประเด็นนี้ ทำให้มีคนนำไมโครชิพไปพัฒนาเพื่อให้สามารถใช้กันในวงกว้างได้ง่ายขึ้น โดยการทำให้มันกลายเป็น GPS ไปจนถึงเทคโนโลยีล้ำยุค เช่น การใช้ชำระเงิน หรือการแสกนต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้บัตรหรือวัสดุอะไรอีกต่อไป ใช้แค่ไมโครชิพในร่างกายเป็นตัวเก็บข้อมูล และสามารถใช้แสกนเพื่อทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย รวมไปถึงการตามหาตำแหน่งที่อยู่ได้ตลอดเวลาจาก GPS ในไมโครชิพ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างดีที่จะมีการในเทคโนโลยีไปใส่ไว้ในตัวของมนุษย์

คาดการอนาคตของไมโครชิพในตัวมนุษย์ ควรจะมีจริง ๆ หรือไม่

แน่นอนว่ามนุษย์ไม่หยุดพัฒนา เหตุการณ์นี้ก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นให้มนุษย์ทำสิ่งใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในบางครั้งอาจจะมีคำถามจากคนบางกลุ่มเกิดขึ้นมาว่ามันสมควรแล้วจริง ๆ หรือ หลายคนมองว่าเป็นเรื่องสะดวกสบายที่จะไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรให้ยุ่งยากวุ่นวาย ตัวของเราถูกเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคต่าง ๆ จะไม่มีปัญหาการลืมของ ลืมบัตร แล้วไม่สามารถใช้แสกนอะไรอีกต่อไป ถือเป็นการยกระดับชีวิตให้สมาร์ทขึ้นได้อย่างเห็นผลจริง แต่ในอีกมุมมองหนึ่งในฝั่งของมนุษยชน ร่างกายคนเราสมควรแล้วหรอที่จะนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย ถึงแม้ว่าจะมีเหตุผล แต่มันคุ้มค่าหรือไม่ถ้าเกิดปัญหาในอนาคต ต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไร มีความเสี่ยงมากขนาดไหน เป็นสองความคิดที่ยังจบกันไม่ลง คงจะต้องติดตามข่าวสารและข้อสรุปกันต่อไปในอนาคต

 

ส่อง เทคโนโลยีดั้งเดิมของเซเว่นที่โดนใจคนทั้งเมือง          

เซเว่น-อีเลฟเว่น เป็นแฟรนไชส์ของร้านสะดวกซื้อ จำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน มีสาขาอยู่ทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยก็มีมากกว่า 10,000 สาขา เฉพาะในกรุงเทพมหานครมีมากกว่า 500 สาขา เป็นร้านค้าปลีกที่มีเครือข่ายมากที่สุด โดยมียอดขายเฉลี่ย 65,019 บาท ต่อวันต่อสาขา ถือได้ว่า ธุรกิจของเซเว่นฯนั้น เติบโตได้ดีมากเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงถึง ระบบของเซเว่นฯ ที่เราสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน

  • 7-Card (เซเว่นการ์ด) คือ บัตรสมาชิกเงินสดอัจฉริยะที่ได้แต้มจากการซื้อของในร้านเซเว่นฯ ทั้งนี้เพื่อเพิ่ม ความสะดวกสบายในการชำระสินค้าและบริการ พร้อมทั้งสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่ามากมายที่ให้เฉพาะสมาชิกเท่านั้น
  • เคาน์เตอร์เซอร์วิส เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการชำระค่าสาธารณูปโภคทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำประปา ไฟฟ้า ค่า โทรศัพท์มือถือ ซื้อตั๋วคอนเสิร์ต และบริการจากการผ่อนสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากเพราะทำให้ลูกค้านั้นประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทั้งยังชำระได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  • แอปเซเว่นฯ เป็นแอปที่อำนวยความสะดวกสำหรับติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าโปรโมชั่นต่าง ๆ ที่จัดตามช่วงเวลา ใช้ในการสะสมเหรียญเพื่อใช้แลกสินค้าพรีเมี่ยม และร่วมสนุกกับกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อชิงของรางวัล

แตกต่างอย่างลงตัวกับเทคโนโลยี เซเว่น ในยุค 4.0

ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น ทำให้เซเว่นฯต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบเซเว่นฯของตัวเองให้ทันโลกตามไปด้วย โดยในปัจจุบันนี้มีเซเว่นฯแห่งใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีคอนเซปที่ว่า “อวกาศ“ เพื่อเปิดประสบการณ์ให้กับลูกค้าได้เข้ามาดูเซเว่นฯแบบโฉมใหม่ ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในร้านและตกแต่งร้านให้ดูเป็นอวกาศทั้งหมด อีกทั้งเป็นร้านต้นแบบนวัตกรรมด้านประหยัดพลังงาน มีระบบเติมเฟรชแอร์ ระบบปรับอากาศเพิ่มเติมอากาศบริสุทธิ์ในร้าน เพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย นอกจากนั้น มีเทคโนโลยีที่เพิ่มเข้ามาใช้อีก อาทิเช่น

  • จอดิจิทัลแสดงโลโก้ เป็นจุดสังเกตให้เห็นร้านเซเว่นฯ อย่างชัดเจน เป็นแบบโปร่งใส (Digital Transparent Display )ใช้เทคโนโลยี MESH OLED ในการกระจายแสงให้เกิดเป็นภาพที่คมชัดสามารถมองทะลุผ่านได้ ใช้แสดงข้อมูลและภาพเคลื่อนไหวได้หลากหลายรูปแบบรวมถึงโปรโมชั่นต่าง ๆ ของทางร้าน
  • ที่จอดจักรยานอัจฉริยะ เปิดให้บริการเช่าจักรยานโอโฟ่ (OFO) ลดการใช้รถส่วนตัว และมี EV Parking สถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ระบบไฟฟ้า เพื่อลดการใช้พลังงาน
  • จอแสดงเมนูและภาพอาหาร (Digital Menu Board) และตู้แชร์สินค้าประเภทอาหารสดที่แปลกตาไปจากสาขาอื่น ๆ ซึ่งมีจุดเด่นคือสามารถรักษาอุณหภูมิสินค้าให้คงที่และสดใหม่อยู่เสมอ (Open showcase) ที่สำคัญประหยัดพลังงานได้มากถึง 30%
  • จุดชำระเงินด้วยตนเอง (Self Check Out) เพื่อความสะดวก รวดเร็วในการให้บริการที่ทำได้ด้วยตนเอง
  • Smart Wave สามารถอุ่นอาหารได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องรอพนักงาน

ไฮไลท์ของทางร้านคือ น้องแมงมุม หุ่นยนต์ที่สามารถจับการเคลื่อนไหวและสื่อการกับลูกค้าได้ในระยะใกล้เช่น ยกมือไหว้สวัสดี โบกมือทักทาย สามารถเคลื่อนที่ไปได้รอบร้าน 24 ชม. โดยไม่ใช้แบตเตอรี่อีกด้วย ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้ลูกค้าประทับใจนั่นเอง

และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีที่ถูกเพิ่มเข้ามาเท่านั้นยังมี เทคโนโลยีที่น่าสนใจอีกมากมายที่เข้ามาปรับใช้ในร้านเซเว่นแห่งนี้ ซึ่งคุณสามารถเดินทางไปสัมผัสได้ด้วยตนเองที่ ซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 ถนนแจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี ระบบสารสนเทศของเซเว่นถือเป็นระบบของร้านสะดวกซื้อที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในยุคปัจจุบัน ถือเป็นตัวอย่างที่ดีกับร้านสะดวกซื้อเจ้าอื่น ๆ ซึ่งอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ทำให้เซเว่นฯครองใจผู้คนทุกระดับชั้นเพราะ สินค้าได้มาตรฐาน ตามหลักสากล มีการบริการที่ดี รอยยิ้มที่ส่งตรงถึงลูกค้า นั่นเอง

การศึกษาที่ถูกปฏิวัติด้วยเทคโนโลยี Smart School อยู่อีกไม่ไกล

                เทคโนโลยีคือสิ่งที่ไม่ถูกจำกัดอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เทคโนโลยีสามารถที่จะเข้าไปช่วยพัฒนาทุก ๆ สิ่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การศึกษาถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ได้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เราอาจจะเคยเห็นกัน ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกเทปการสอน และนำไปเก็บไว้ในห้องสมุด เมื่อมีนักเรียนคนไหนที่ไม่เข้าในบทเรียนและอยากจะฟังอีกครั้ง ก็สามารถที่จะมาเปิดดูได้ หรือจะเป็นการทำสื่อการสอนต่าง ๆ ให้ดูทันสมัยและเข้าใจง่ายมากขึ้น

แต่ในตอนนี้การศึกษาได้ก้าวไปอีกระดับโดยการใช้เทคโนโลยีพัฒนาระบบการศึกษาใหม่ให้ออกมาเป็น E-learning เป็นศูนย์รวมทุกอย่างที่เกี่ยวกับการศึกษาที่นักเรียนหรือนักศึกษาสามารถใช้งานไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ได้ เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟนและอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ข้อมูลทุกประเภทจะถูกเก็บและมีการอัพเดทตลอดเวลาผ่าน E-learning เพื่อให้ทั้งนักเรียน ครู และเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ของโรงเรียนได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น

ระบบนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อจัดเก็บวิดีโอการสอน หรือเอกสารประกอบการเรียนอย่างเดียว แต่มันยังเป็นตัวแจ้งข่าวสารที่สำคัญ ๆ และกิจกรรมที่โรงเรียนหรือมหาลัยนั้นจะมี เช่น มีการประการข่าวสารกิจกรรม กฎกติกาต่าง ๆ รวมไปถึงแบบประเมิยกิจกรรมต่าง ๆ แบบออนไลน์ หรือแม้กระทั่งการจ่ายค่าเทอมก็ยังเป็นระบบ E-payment ซึ่งทำผ่านการใช้ระบบออนไลน์ทั้งนั้น

Smart School เทคโนโลยีนี่้ให้คุณหรือให้โทษ

Smart School ไม่ใช่แค่การมีระบบศูนย์กลางการศึกษาออนไลน์เท่านั้น แต่มันคือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการพัฒนาโรงเรียน บางโรงเรียนมีการรณรงค์กันอย่างจริงจัง และเริ่มที่จะมีการปรับเปลี่ยนกันมากขึ้น เช่นการแสกนนิ้วใช้บริการพื้นที่ต่าง ๆ ในโรงเรยน การตรวจเช็คคนมาสายหรือคนโดดเรียนด้วยระบบ tracking ต่าง ๆ และส่งข้อความไปหาผู้ปกครอง หรือแม้กระทั่งการใช้บัตรนักเรียนที่มีการบันทึกระบบและข้อมูลลงไป เพื่อที่จะใช้สมาร์ทการ์ดเป็นตัวกลางที่จะเชื่อมต่อทุกอย่างในโรงเรียน การเช็คชื่อ เข้าโรงเรียน หรือซื้อของผ่านการใช้สมาร์ทการ์ด ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่ดูจะสะดวกสบายและน่าสนับสนุน

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตัวระบบนั้นก็ยังมีช่องโหว่ที่ถือว่าเป็นข้อบกพร่องอยู่ ตัวอย่างเช่นการซื้อของ โดยปกติการซื้อของในโรงเรียนจะใช้เงินจริงซื้อ แค่พอเปลี่ยนมาใช้สมาร์ทการ์ดที่เติมเงินได้แทน อาจจะมีปัญหาการค่าอาหารหรือสินค้าเกินจริงในกรณีที่เป็นเด็กเล็ก หรือเด็กที่ไม่ได้สนใจจะตรวจสอบจำนวนเงินในบัตร บางร้านค้าอาจจะคิดราคาเกินความจริง และแอบโกงเงินส่วนนั้นไปคนละเล็กคนละน้อย โดยที่ไม่มีใครรู้ เนื่องจากการตรวจสอบย้อนหลังของระบบแบบนี้จำเป็นต้องมีขั้นตอนมาก และไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญกับเงินจำนวนเล็ก ๆ ที่หายไป

ซึ่งถ้าผู้ปกครองไม่เห็นความผิดปกติบางอย่างและเข้าไปตรวจสอบ เด็ก ๆ ก็จะถูกเอาเปรียบไป

แบบนี้เรื่อย ๆ ควรจะต้องมีมาตรการที่จะระงับหรือตรวจสอบการใช้งานต่าง ๆ และมีบทลงโทษที่จริงจังสำหรับผู้ที่ผิดกฎไม่ต่างจากกฎอื่น ๆ ในโรงเรียน นี่ถือเป็นส่วนย่อย ๆ ของมุมมองสองมุมจากการใช้เทคโนโลยี แน่นอนว่ามันทำให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคิดพิจารณาดูถึงข้อบกพร่องหรีอช่องโหว่ต่าง ๆ รีบแก้ไขก่อนที่อาจจะเกิดสิ่งไม่ดีได้

 

IT Business Analyst อีกหนึ่งอาชีพความหวังของคนเรียนคอมแต่ไม่ชอบโค๊ด

ในยุคที่เทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนในสังคม ไม่แปลกที่จะมีการเปิดคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ และวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมาหลายมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้ศึกษาความรู้เฉพาะทางด้านคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ ถือได้เลยว่าเป็นคณะที่ค่อนข้างใหม่และเริ่มเป็นที่สนใจของใครหลาย ๆ คน เนื่องจากในสมัยก่อนมีแค่เป็นวิชาย่อย ๆ ไม่ได้มีการแยกตัวออกมาเป็นคณะที่มีหลักสูตรเป็นของตัวเองแบบนี้

แน่นอนว่านี่เป็นคณะที่ใฝ่ฝันของสายคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย ทั้งซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นความรู้เฉพาะทาง เช่นการเรียนรู้ระบบการทำงานต่าง ๆ ของซอฟแวร์ หรือที่น่าจะคุ้นเคยกันดีคือการขียนโค้ด ถ้าไม่ได้ชอบหรือสนใจจริง ๆ ถือเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจกับมัน แต่ปัญหาคือการที่มีคนที่ไม่ได้ชอบการเขียน หรืออยากได้ความรู้ที่เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ไปปรับใช้กับเรื่องอื่น ๆ เลยอยากเข้าคณะแบบนี้

แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากและน่าเบื่อสำหรับคนที่ไม่ได้ชอบด้านนี้จริง ๆ ด้วยเหตุนี้ บางมหาลัยเริ่ม

ที่จะพิจาราณาเรื่องหลักสูตร และได้เพิ่มหลักสูตรขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับคนที่มีความสนใจในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ทำให้คำว่าคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไม่ใช่คณะที่จะมีแค่การเรียนรู้เรื่องการเขียนโค้ดเพียงอย่างเดียว ซึ่งหนึ่งในทางเลือกนั้นก็คือ E-business หลักสูตรที่สามารถนำความรู้เทคโนโลยีไปใช้ในการทำงานตำแหน่ง BA หรือ IT Business Analyst นั่นเอง

Trend ธุรกิจ IT ที่มาแรง กับตำแหน่งที่น้อยคนจะมองเห็น

ทุกบริษัทจำเป็นต้องมีพนักงานในตำแหน่งต่าง ๆ มากมาย เพื่อทำงานและขับเคลื่อนบริษัทไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งผู้ประสานงานธุรกิจ เซลล์ หรือที่ปรึกษาธุรกิจก็เช่นกัน ตำแหน่งเหล่านี้มีความสำคัญอย่างมากในเกือบทุกบริษัท บริษัทที่มีสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวกับไอทีก็เช่นกัน ส่วนใหญ่คนที่มาทำงานตำแหน่งนี้จะเรียนบริหารธุรกิจ หรือการตลาดมา คนเหล่านี้จะมีความรู้ที่เกี่ยวกับธุรกิจ และการตลาดเป็นอย่างมาก แต่สำหรับบริษัทที่ทำเกี่ยวกับไอทีนั้น แค่ความรู้แบบนี้อาจจะยังไม่เพียงพอ เนื่องจากการทำจะเป็นเซลล์ ผู้ประสานงานธุรกิจ หรือ ที่ปรึกษาในบริษัทไอทีนั้น ความรู้เรื่องไอทีถือเป็นกุญแจสำคัญอีกประการหนึ่งนอกจากความรู้เรื่องธุรกิจ ซึ่งคณะเทคโนโลยีสารสนเทศนี้จึงมีการแยกหลักสูตรเอกออกมาเป็นหลาย ๆ สาย เพื่อให้นักศึกษาได้มีโอกาสที่จะเลือกในทางที่ตัวเองถนัดได้

หลายคนมองว่าถ้าเรียนคณะเทคโนโลยีแล้วไปเลือกเอกที่เป็นธุรกิจหรือสายอื่น ๆ จะทำงานอะไรได้นอกจากออกมาเปิดบริษัทเอง แต่ความจริงแล้วตำแหน่ง IT BA นี้ยังคงเป็นที่ต้องการอยู่  ยิ่งเทคโนโลยีโตขึ้นมากเท่าไร ก็มีบริษัทที่อยากที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเปิดใหม่เยอะขึ้น หรือบริษัทที่ทำเกี่ยวกับเทคโนโลยีอยู่แล้ว ต้องการคนเพิ่ม ถือเป็นโอกาสสำหรับคนที่เรียนคณะคอมแต่ไม่ได้ชอบเขียนโค๊ต หรือความรู้เฉพาะทางของคอมพิวเตอร์

นอกจากนี้ยังมีอีกมายมายหลายสายทีถูกแยกออกมาจากการเรียนคณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น DB (Database) CN (Computer Network) หรือ SD (Software Design) ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับใครที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย และสนใจในคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ลองศึกษาดูรายละเอียดและหลักสูตรต่าง ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจ

การนอนหลับที่ดี เพื่อหน้าตาที่อิ่มเอิบสดใส อ่อนกว่าวัย…เทคโนโลยีช่วยท่านได้อย่างไร

ในแต่ละวัน มนุษย์เราต้องการการพักผ่อน มนุษย์ใช้เวลานอนหลับประมาณ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด มากน้อยขึ้นกับแต่ละบุคคล การนอนหลับอย่างมีคุณภาพนั้น ถือเป็นการพักผ่อนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะในระหว่างการนอนหลับนั้น ทั้งร่างกายและสมองจะทำการฟื้นฟู ซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ให้ดีขึ้น

อาการนอนไม่หลับ หรือ Insomnia นั้น เป็นอาการผิดปกติในการนอน ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับไม่สนิท หรือ การตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก โดยอาการนอนไม่หลับนั้น จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย ขาดสมาธิ ระบบความจำมีปัญหา ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ความ​สามารถ​ใน​การ​วิเคราะห์​และ​ความ​คิด​สร้าง​สรรค์​ลด​น้อย​ลง ประสบอุบัติเหตุได้ง่าย ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพจิตใจอีกด้วย การนอนไม่หลับทำให้มีอาการไม่สดชื่น และอารมณ์ไม่ดีร่วมด้วย ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อตนเองแล้ว ยังจะส่งผลกระทบต่อบุคคลรอบข้าง และความสัมพันธ์กับผู้อื่น

เทคโนโลยีช่วยการนอนหลับได้อย่างไร ?

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการนอนหลับนั้น แบ่งได้เป็น ปัจจัยภายนอก อาทิ อุณหภูมิ แสง เสียง ในห้องนอน และปัจจัยภายใน เช่น ความเครียด ความเจ็บป่วย ฮอร์โมน ระดับคาเฟอีนในร่างการ และอื่น ๆ

ดังนั้น หลายบริษัทจึงเห็นความสำคัญของการนอนหลับที่มีคุณภาพ โดยนำเทคโนโลยีมาร่วมกับทางการแพทย์ สร้างสรรค์เป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดย

  1. วิเคราะห์พฤติกรรมผู้นอน

โดยการใช้เซ็นเซอร์และอัลกอริทึ่มบนที่นอน ในการติดตามการนอนและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ  เช่น ตรวจจับว่าผู้นอนนั้นหลับแล้วหรือยัง ? บันทึกระยะเวลาการนอนหลับก่อนที่จะตื่นขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิในห้อง วัดคลื่นเสียง ปริมาณก๊าซออกซิเจน ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อัตราการเคลื่อนไหว รวมถึงการกรนด้วย

  1. กระตุ้นการนอนหลับ

อุปกรณ์ส่งเสริมการนอนที่ผนวกผสมผสานเทคโนโลยีเข้าไปนั้น สามารถช่วยกระตุ้นการนอนหลับได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น หมอนกอดที่สามารถขยับขึ้น-ลง เสมือนการหายใจยุบพองเป็นจังหวะสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายผ่อนคลายและหลับง่ายขึ้น สังเกตุได้จากเด็กที่นอนซบบนอกแม่ จะหลับง่ายกว่า การสั่นเตือนเบา ๆ ให้ขยับเปลี่ยนท่านอน ป้องกันการปวดเมื่อยจากการกดทับ เครื่องปล่อยกลิ่นอโรมาที่ช่วยในการนอนหลับ การส่งเสียงดนตรี หรือแม้แต่เล่านิทานเพื่อช่วยให้เคลิบเคลิ้มและหลับง่ายขึ้น

ปัจจัยช่วยกระตุ้นส่งเสริมการนอนหลับนั้น จะช่วยให้การนอนหลับมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น การนอนหลับที่ลึกมากพอ จะทำให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth hormone) ที่ใช้ในการซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ผิวหนังหรืออวัยวะต่าง ๆ ที่สึกหรอ และสร้างสมดุลระบบการเผาผลาญอาหาร ทำให้ดูอ่อนเยาว์ ร่วมกับสารเมลาโทนินที่จะถูกสร้างมากที่สุดในเวลากลางคืนขณะที่เรานอนหลับ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์ผิวหนังจากสารอนุมูลอิสระต่าง ๆ ที่จะช่วยลดการอักเสบหรือภูมิแพ้ของผิวหนังต่าง ๆ